สแกนดิเนเวีย เป็นกลุ่มประเทศที่ถูกพูดถึงกันบ่อยๆในยุคที่ผู้คนกำลังมองหาประเทศในอุดมคติ สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งการบริหารบ้านเมือง กฎหมายมีความเข้มแข็งไม่เลือกปฏิบัติ การศึกษาระดับเเนวหน้าของโลก และผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ ฟินเเลนด์ สวีเดน เดนมาร์กล้วนถูกจัดให้เป็นประเทศที่พัฒนาเเล้วที่อยู่ลำดับต้นๆในด้านเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา สุขภาพ หรือเเม้เเต่ดัชนีความสุขของคนในประเทศ ซึ่งอยู่ในท็อป 5 มาโดยตลอด
ดัชนีความสุขจะถูกประเมินโดยปัจจัยที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย ความพึงพอใจในงาน สุขภาพ สิทธิเสรีภาพ คุณภาพของสิ่งแวดล้อม สภาวะความเชื่อใจที่มีต่อรัฐบาล
เดนมาร์กมีปัญหาหาคอร์รัปชั่นน้อยที่สุดในโลก ส่วนประเทศที่มีปัญหาด้านนี้ที่สุดคือไอซ์แลนด์ อยู่อันดับที่ 14 ของโลก
ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในประเทศสวีเดนเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 6.2 มคก./ลบ.ม ต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในสแกนดิเนเวีย เดนมาร์กมีปริมาณฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยอยู่ที่ 11 มคก./ลบ.ม ต่อปี ซึ่งถือว่าแย่ที่สุดในแถบนี้ ( world Bank 2017 )

ปัจจัยทุกอย่างนี้อาจเป็นตัวสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้กับคนภายในประเทศ หรือแท้จริงแล้วความสุขอาจจะหมายถึงการเชื่อใจกัน?
เชื่อว่าคนอื่นๆในสังคมเป็นคนที่น่าเชื่อถือไม่คดโกงกัน เชื่อในสภาพอากาศว่าจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อร่างกาย เชื่อในตัวกฎหมายที่จะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเที่ยงธรรม เชื่อว่าภาษีที่พวกเขาต้องจ่ายไปราวๆ 40 – 60% จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศได้จริง
พวกเขาจะไม่รู้สึกเดือดร้อนใดๆกับการต้องเสียภาษี เพราะ “เชื่อ” และ “รู้” ว่าภาษีจะเข้าไปในระบบการศึกษาจริงๆซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกหลานได้เรียนฟรีจนถึงมหาวิทยาลัย พวกเขาจะได้รับสวัสดิการที่ดีหลังเกษียณอายุ เป็นเหตุให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องอดออม หรือเป็นกังวลเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลในช่วงที่แก่ตัวลง
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตของผู้คนในแถบนี้คือ แนวคิดในแบบ Law of Jante
คนไม่มีสิทธิ์?
ในขณะที่หลายๆวัฒนธรรมสอนให้ผู้คนแบ่งเป็นชนชั้นต่าง ๆ คนที่อยู่เบื้องล่างต้องเคารพคนที่สูงศักดิ์กว่า ต้องชื่นชมคนที่มีพื้นฐานทางครอบครัวที่ดีกว่า
แนวคิดนี้บอกให้ผู้คนจำยอม เเละยอมรับว่าชนชั้นที่อยู่สูงสุดมีอำนาจที่จะกำหนดชีวิตของใครก็ได้ ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเเนวคิด Law of Jante ที่บอกเราว่า…พวกเขา “ไม่มีสิทธิ์” ขนาดนั้น
ทุกๆคนต่างหากที่มีสิทธิ์วางกฎ ไม่ใช่คนไม่กี่คนในสังคม อีกทั้ง Law of Jante ยังเป็นวิธีการเตือนสติว่า ตนเองไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นเท่าไรนักเช่นกัน
Law of Jante เป็นส่วนหนึ่งของนิยายเสียดสีสังคม A Fugitive Crosses His Tracks ที่แต่งขึ้นในปี 1933 โดย Aksel Sandemose ซึ่งในเนื้อเรื่องมีเมืองเล็กๆชื่อ Jante
ผู้คนแทบจะลืมเนื้อหาหลักๆของเรื่องไปเเล้วว่ามันเกี่ยวกับอะไร เเต่สิ่งที่พวกเขาจำได้คือกฎ 10 ข้อที่พวกเขาเชื่อว่าจะทำให้สังคมสงบสุขได้ถ้าทุกๆคนปฏิบัติตาม
กฎเหล่านี้เเทรกซึมไปในความคิดของชาวสแกนดิเนเวียนมาอย่างยาวนาน เป็นเหมือนแนวคิดที่มีไว้ควบคุมจิตสำนึกของผู้คน พอไม่ทำตามจะทำรู้สึกผิดขึ้นมา ซึ่งประกอบไปด้วย …
1. คุณต้องไม่คิดว่าคุณเป็นคนพิเศษ
2. คุณต้องไม่คิดว่าคุณดีกว่า
3. คุณต้องไม่คิดว่าคุณฉลาดกว่า
4. คุณต้องไม่คิดว่าคุณเหนือกว่า
5. คุณต้องไม่คิดว่าคุณรู้มากกว่า
6. คุณต้องไม่คิดว่าคุณสำคัญกว่า
7. คุณต้องไม่คิดว่าคุณมีดีในอะไรสักอย่าง
8. คุณต้องไม่หัวเราะเยาะคนอื่น
9. คุณต้องไม่คิดว่าคนอื่นจะแคร์ในตัวคุณ
10. คุณต้องไม่คิดว่าคุณจะสอนคนอื่นได้
กฎจารีตนี้ทำให้ผู้คนพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิงกับเเนวคิดบริโภคนิยม ที่มักจะหลงใหลในภาพลักษณ์ พยายามหาวิธีการที่จะได้ยกย่องเยินยอตัวเอง เเล้วหาหนทางที่จะให้คนอื่นมองตนเองว่าเป็นคนสำคัญ
แต่ในทางหนึ่ง Law of Jante ถูกมองว่าเป็นแนวคิดที่คอยกดทับไม่ให้ผู้คนพบเจอกับด้านที่ดีที่สุดของตัวเอง ซึ่งหลายๆคนมองว่า Law of Jante เป็นแนวคิดที่ล้าสมัย

ความสำเร็จของคนคนหนึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายๆคน
ผู้คนที่มีเเนวคิดบริโภคนิยม หรือคนที่มีแนวคิดแบบ Individualism เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จ พวกเขาจะคิดว่ามันเกิดจากความสามารถของตัวเองล้วนๆ เเต่เเนวคิด Law of Jante ทำให้ผู้คนคิดว่า ไม่มีความสำเร็จใดเกิดขึ้นได้โดยปราศจากการสนับสนุนจากคนอื่นๆ
เพลงของศิลปินจะขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งไม่ได้ถ้าไม่มีคนฟัง ห้างร้านจะประสบผลสำเร็จไม่ได้เลยถ้าขาดผู้คนเข้ามาซื้อของ
Law of Jante ทำให้ผู้คนตระหนักรู้ถึงเหตุผลเหล่านี้ อีกทั้งจะทำให้ผู้คนรำลึกถึงความสุขที่ยั่งยืน เช่นการได้แบ่งปันความรักกับคนใกล้ตัว
“ อาจไม่มีความสุขใดเทียบเท่ากับการได้มีเพื่อนสนิท หรือครอบครัวที่ใกล้ชิดเพื่อที่จะได้แบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน ไม่ใช่ความสุขที่หาได้จากคนอื่นๆที่เราไม่รู้จัก “
เมื่อเเนวคิดนี้ถูกปรับใช้กับทุกชนชั้นจริงๆ มันง่ายมากที่ผู้คนจะน้อมรับเเนวคิดแบบประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยไม่ได้พูดถึงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคมโดยเฉพาะ เเต่มันพูดทุกๆคนอย่างแท้จริง
Law of Jante อาจไม่ใช่สูตรสำเร็จของความสุขที่เเท้จริงหรือเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของทุกๆคน เเต่ต้องยอมรับว่า Law of Jante คือบางสิ่งที่เราน่าจะมีมากกว่านี้ในชีวิต ในโลกที่ผู้คนเห็นอกเห็นใจกันน้อยลงทุกที
Sources : wikipedia.org – Law of Jante , upliftconnect.com – Jante hold secret happiness
เห็นด้วยเลย เรื่องความเท่าเทียมของคนสแกนดิเนเวีย เคยเห็นคนประเทศนี้เป็นผู้จัดการบริษัท มีเพื่อนทำงานเป็นยาม และแม่รับทำความสะอาดตามบ้าน จัดปาร์ตี้ร่วมกันอยู่บ่อยๆ
LikeLike