คุณเคยรู้สึกไหมว่า บางครั้งสิ่งที่คุณได้รับรู้มา กับสิ่งที่คนบางกลุ่มได้พูดออกมา มันช่างสวนทางกันอะไรขนาดนั้น “เหมือนว่าเราอยู่กันคนละโลก”
มันอาจคล้ายๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1918
โลกแห่งจินตนาการ
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยที่ผู้ชายเป็นใหญ่มากกว่าปัจจุบันหลายเท่า สิ่งที่พวกเขาสนใจกันคงหนีไม่พ้นการสู้รบ การชกต่อย พูดง่ายๆคืออะไรก็ตามที่มันดูรุนเเรงและได้ใช้กำลัง
พวกเขาชอบอะไรเสียงดังๆ เช่น เสียงปืน เสียงระเบิด และพวกเขาจะถูกปั่นหัวได้ง่ายมากๆ โดยเฉพาะเสียงที่มาจากรัฐบาล ที่มีเนื้อความเกี่ยวกับชาตินิยม
ปัจจัยทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมล้วนนำไปสู่สงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เเต่หารู้ไหมว่ามีสิ่งที่เป็นภัยร้ายที่เหนือกว่าสงครามไหนๆ มันคือภัยร้ายที่มองไม่เห็นและไม่ส่งเสียงใดๆ
เป็นภัยร้ายที่ไม่มีใครสนใจเลยในตอนนั้น เพียงเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจ และไม่อยากทำความเข้าใจ
ภัยร้ายนั้นคือโรคระบาด ที่ได้ฆ่าคนมากเสียยิ่งกว่าคนที่ถูกฆ่าจากสงครามโลกครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 รวมกันเสียอีก

ไม่มีใครสน
ในปี 1918 ผู้คนในสหรัฐฯเต็มไปด้วยชีวิตชีวา สิ่งเดียวที่พวกเขากลัว คือ ภัยสงครามจากยุโรป ทำให้การอยู่บ้านดูทีวี เป็นสิ่งที่น่าจะปลอดภัยที่สุด
ในอีกทางหนึ่ง สื่อก็มักจะเล่นข่าวในลักษณะของชาตินิยม จนพวกเขาถูกทำให้เชื่อว่า “สหรัฐฯคือชาติที่เจ๋งที่สุดในโลก” ไม่มีอะไรทำอันตรายพวกเขาได้ มันจึงทำให้พวกเขากระตือร้นอยากที่จะเข้าร่วมสงครามโดยธรรมชาติ เพียงเเต่พวกเขาจะต้องถูกปลุกปั่นนิดหน่อย ด้วยสถานการณ์ต่างๆที่แลดู “เป็นเหตุเป็นผล”
ฝั่งจักรวรรดิอังกฤษก็คงจะพึงพอใจไม่น้อยเลยทีเดียว ที่มีสหรัฐฯเข้ามาช่วยในสงครามแบบเต็มตัว

ช่วงเดือนกุมภาฯ 1918 มีการรายงานจากดร.ลอริง ( Dr.Loring Miner )ที่อยู่ในเมืองเเคนซัส ว่าเขาพบผู้ป่วยที่เป็นโรคที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน บอกได้เเต่ว่ามันเป็นโรคที่ร้ายเเรงมากเพราะมันทำให้คนที่ดูเหมือนจะมีร่างกายที่เเข็งเเรง สุขภาพดี ต้องเสียชีวิต อีกทั้งยังพบว่ามีการตายประหลาดนี้เกิดขึ้นตั้งเเต่เดือนมกราฯที่ผ่านมาในบริเวณอื่น คาดว่าอาจจะเป็นโรคเดียวกัน เขาต้องการเเจ้งไปที่ U.S. Public Health Service ให้รับรู้ถึงเรื่องนี้
มีการรายงานถึงโรคระบาดแปลกๆเกิดขึ้นเช่นกันในจีนที่มณฑลชานซี ( Shanxi ) ตั้งเเต่ 1917 เเต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคเดียวกันรึเปล่า แต่ถ้ามันเป็นโรคเดียวกันก็สามารถสันนิฐานว่าโรคนี้อาจจะเข้ามาทางคนเเคนาดาที่ถูกแพร่เชื้อมาจากเเรงงานจีนอีกทีที่เมืองแฮลิแฟกซ์ ( Halifax ) หรือไม่ก็ผ่านทางฝรั่งเศสที่เเรงงานจีนทำงานอยู่ในสนามรบที่นั่น
ข่าวโรคร้ายนี้ได้ถูกตีพิมพ์ในเวลาต่อมา เเต่มันได้รับความสนใจน้อยมากๆ ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นโรคประจำฤดูทั่วไป เเละไม่ได้สำคัญเท่าไร สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนั้นคือสงครามโลกเท่านั้น ที่สหรัฐฯได้ประกาศสงครามกับเยอรมันไปแล้วตั้งเเต่ เมษาฯ 1917 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการหาเสียงของประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ( Woodrow Wilson ) ด้วย

ผู้ป่วยรายเเรก ( patient zero ) ที่สามารถระบุได้คืออัลเบริต กริชเชล ( Albert Martin Gitchell ) เขามีหน้าที่ปรุงอาหารในค่ายทหารฟันสตันส์ ( Funstons ) ในเมืองแคนซัส ซึ่งเป็นค่ายทหารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเมืองที่เกิดโรคระบาดไม่กี่กิโลฯ ในพื้นที่ที่ดร.ลอริง พบผู้ป่วยนั่นแหละ
กริชเชล ถูกตรวจพบว่ามีไข้สูง เเละปวดหัว ต่อมาไม่กี่ชั่วโมงก็พบว่ามีทหารกว่าร้อยนายที่ป่วยขึ้นมากะทันหัน พวกเขาจะมีอาการตัวร้อน ปวดหัว ปวดเมื้อยกล้ามเนื้อ บางคนมีอาการอาเจียน หรือหายใจติดขัด ตัวจะเริ่มช้ำเป็นสีน้ำเงิน เลือดจะไหลออกทางปากทางจมูกจนหายใจไม่ออก เเละพวกเขาจะเสียชีวิตภายใน 2 – 3 ชม.ต่อมา
มีทหาร 46 นายเสียชีวิตจากการระบาดในครั้งนั้น จากผู้ติดเชื้อกว่าพันคน
หลังจากได้รับการรักษา ทหารผู้รอดชีวิตเหล่านั้นถูกส่งไปรวมพลกับทหารค่ายอื่นๆ เพื่อถูกส่งไปที่ยุโรปอีกที

ตีวงล้อมทั่วยุโรป
ทหารที่ถูกส่งไปรบที่ยุโรปกว่าล้านคนที่กระจุกตัวกันอย่างแออัดในรถไฟ ในรถขนส่ง ในเรือ ได้แพร่เชื้อกันไปเรื่อยๆ ภายในกองทัพทั่วทั้งยุโรป มันถูกตรวจพบได้ยากมากๆว่านี่คือโรคระบาดอะไรกันแน่ เพราะในค่ายทหารก็มีสารพัดโรคเกิดขึ้นอยู่เเล้ว เเละก็มีคนตายเยอะมากจนเเยกไม่ออกว่าตายเพราะอะไร
แต่ภายหลังได้มีการนำมาวิเคราะห์จึงพบว่า โรคดังกล่าวทำให้ทหารเยอรมันเสียชีวิตไปกว่าครึ่ง รวมถึงนายพลเอริช ลูเดินดอร์ฟ ( Erich Ludendorff )ที่ป่วยจากโรคนี้เหมือนกัน คาดว่าพวกเขาติดมาจากเชลยสงครามที่เป็นชาวอังกฤษ

เชื่อว่าเชื้อไวรัสนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เยอรมันเเพ้สงคราม พวกเขากว่าครึ่งป่วยเเละหมดเเรง ส่วนทหารฝ่ายตรงข้ามได้เเก่ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ ที่ป่วยก่อนหน้านั้น ได้ฟื้นฟูสภาพกลับมาได้เเล้ว พวกเขาจึงมีพละกำลังที่เหนือกว่า ทำให้กองทัพเยอรมันที่อ่อนเเรงถ่อยร่นออกจากฝรั่งเศสเเละพ่ายเเพ้ไปในที่สุด
ช่วงเดือน เมษาฯ 1918 เชื้อไวรัสนี้ได้กระจายไปทั่วยุโรปอย่างไร้ขอบเขต ทั้งผ่านทางทหารสหรัฐฯ หรือผ่านทางเเรงงานจีน ที่ส่งต่อไปยังชาวฝรั่งเศส แล้วแพร่ไปยังอังกฤษ อิตาลี เเล้วค่อยไปที่สเปนตามลำดับ
ผู้คนรู้จักกันในนามไข้หวัดสเปน เพราะว่ามีข่าวถูกตีพิมพ์ที่นั่นอย่างเปิดเผย ไม่ได้มีการปกปิดใดๆ จนเหมือนว่ามันเป็นโรคที่เกิดขึ้นในสเปนเเค่เพียงประเทศเดียว
พวกเขากระจายข่าวออกไปได้เนื่องจากสเปนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรในสงครามโลกครั้งที่ 1 เลย พวกเขาไม่ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นจากการรายงานข่าวในครั้งนั้น หลายๆประเทศที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามล้วนมีพฤติกรรมในการปกปิดข่าวด้วยกันทั้งสิ้น ด้วยหลายๆเหตุผล ส่วนใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกเเย่ๆที่จะเกิดขึ้นต่อคนในชาติที่ประชาชนล้วนต้องการพลังบวก เเละไม่อยากให้ทหารต้องกังวลใจกับเรื่องอื่นๆมากเกินไป
เมื่อหนังสือพิมพ์ได้ตีข่าวถึงโรคนี้ที่สเปน ผู้คนก็ยังไม่สนใจเท่าไร เเต่พอกษัตริย์สเปน( King Alfonso XIII )ได้ติดเชื้อเเละถูกพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งเท่านั้นแหละ ผู้คนทั่วไปจึงแตกตื่น และตระหนักว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ
เข้าโจมตี
เดือนตุลาคม 1918 ดร.เวลช์ ( Dr. William H. Welch ) ถูกเรียกตัวฉุกเฉิน เพราะพบว่ามีการระบาดของโรคนี้ที่ค่ายทหารดีเวนส์ ( Devens ) ในเมืองแมสซาชูเซตส์ เขาดูเป็นคนที่กองทัพพอจะพึ่งพาได้มากที่สุดในตอนนั้น
สิ่งที่ ดร.เวลช์ พบในค่ายคือ เนื้อตัวของผู้ป่วยหลายๆคนเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน มีอาการไออย่างรุนเเรง และไอเป็นเลือด บางรายพบว่าปอดของพวกเขาทะลุ จนอากาศรั่วออกมาที่ใต้ผิวหนัง พอพวกเขาพลิกตัวก็จะมีเสียง “ป๊อป” ออกมาเบาๆ สตาฟที่เข้ามาดูเเลผู้ป่วยกว่าครึ่งติดเชื้อตามไปด้วย บางคนไม่ได้มีอาการด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็เห็นพวกเขาล้มตัวลงแล้วและพบว่าเสียชีวิตภายใน 12 ชั่วโมง ส่วนคนที่ไม่ได้ล้มลงไปถูกตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรคปอดอักเสบ ( pneumonia ) ในระยะที่รุนเเรง
ดร.เวลช์ แจ้งไปทางหัวหน้าแพทย์ทหารกอร์กัส ( William C. Gorgas ) ว่านี่คือสถานการณ์ร้ายเเรง เขาต้องการสั่งห้ามในการรวมพลทุกรูปแบบของทหาร รวมทั้งการขนย้ายทหารทางรถไฟ ทางเรือ เพราะมันยิ่งทำให้เเพร่เชื้อเข้าไปอีก เเละต้องทำการขยายพื้นที่ของโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน
กอร์กัสได้ทำการติดต่อไปที่กองทัพเเต่ก็ถูกปฏิเสธมา พวกเขาสนใจเเต่เรื่องสงคราม เพราะดูเหมือนว่ามันใกล้จะเสร็จสิ้นเต็มที พวกเขาจะหยุดไม่ได้ อีกทั้งยังเรียกกำลังเสริมเข้ามาอีก กอร์กัสจึงออกมาประท้วง ระบุว่าค่ายทหารต่างๆได้หยุดการฝึกไปสักพักเเล้วด้วยเหตุที่ทหารกว่าครึ่งป่วยตายกันหมด
การเพิกเฉยของผู้มีอำนาจสูงสุด ทำให้สถานการณ์เลวร้ายเข้าไปอีก เพราะมันลุกลามจากค่ายทหารไปสู่ประชาชนทั่วไป
ที่บอสตัน , นิวยอร์ก , ฟิลาเดลเฟีย ผู้คนตามท้องถนนเริ่มที่จะเป็นลมล้มลงไปกับพื้นเเละเสียชีวิต โรงพยาบาลเเน่นไปด้วยผู้คน ไม่มีใครออกไปทำงานเพราะกลัวติดเชื้อ รัฐบาลไม่อยากให้ผู้คนเเตกตื่นพวกเขาจึงสั่งการให้หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ว่าโรคระบาดนี้ใกล้จะหมดลงเร็วๆนี้ สบายใจได้ไม่ต้องกังวล เเต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเเค่ข่าวลวง เพราะสถานการณ์จริงดูต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
มันเป็นงานที่ผู้คนจะออกมาเดินพาเหรด ร่วมกันกับทหาร(ที่อาจกำลังป่วยอยู่) มีการร้องเพลงรักชาติปลุกใจ ที่สำคัญคือมันมีการขายของ ระดมทุน เพื่อหาเงินเข้ากองทัพด้วย
การรวมตัวกันครั้งนั้นทำให้เชื้อนี้แพร่กระจายมากเข้าไปอีก ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมา การระบาดของโรคนี้ก็รุนเเรงเกินที่จะควบคุม เเม้ผู้ว่าการรัฐจะได้รับคำเตือนมาหลายต่อหลายครั้งเเล้วก็ตามจากดร.เวลช์ เเต่ก็ถูกเพิกเฉยมาโดยตลอด
ฟิลาเดลเฟียจึงกลายเป็นเมืองที่มีคนตายด้วยโรคระบาดนี้มากที่สุด ในสหรัฐฯ
ส่วนดร.เวลช์ ติดเชื้อเสียเองเเละทำงานต่อไปไม่ได้ เขาต้องกักบริเวณตัวเองในช่วงที่วิกฤตที่สุดของโรคระบาดนี้
การกักบริเวณนี้ ( quarantine ) เป็นวิธีการที่ภายหลังได้พบว่ามันสำคัญที่สุดเมื่อโรคระบาดเกิดขึ้น ยิ่งควบคุมเร็วเท่าไรยิ่งดี ซึ่งเป็นวิธีที่ยังคงใช้กันอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

โจมตีเต็มรูปแบบ
ไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอย่างไรเมื่อเห็นผู้คนอยู่ๆก็ล้มลงแล้วตายไปต่อหน้าต่อตา ผู้คนทำได้เเค่เพียงรักษาความสะอาดให้ได้มากที่สุดเท่านั้นตามคำเเนะนำของแพทย์
โบสถ์ โรงเรียน สถานที่ต่างๆที่ผู้คนพลุกพล่าน ต้องทำการปิดตัวลงชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด
ในซานฟรานซิสโก พวกเขาได้ออกกฎหมายว่าถ้าใครไม่ใส่ผ้าปิดปากจะต้องโดนปรับ 5 เหรียญ
เมื่อรัฐบาลทำงานไร้ประสิทธิภาพ ผู้คนจึงออกมาจัดการกันเอง ผู้คนในพื้นที่รู้อยู่เเล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เเละรู้ดีว่าหนังสือพิมพ์รายงานข่าวไม่ตรงกับความจริง
ประชาชนรู้สถานการณ์ได้จากใบประกาศที่ติดไปทั่วเมือง เช่น ประกาศที่บอกว่าทางการต้องการพยาบาลจำนวนมาก มีข่าวไปทั่วเมืองถึงการเสียชีวิตของคนที่มีชื่อเสียงจนกระทั่งมีคนข้างๆบ้านเสียชีวิต , มีข่าวถึงโลงศพที่ขาดแคลน
มันเริ่มต้นจากข่าวลือถึงที่ที่อยู่ไกลเเสนไกล จนค่อยๆเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆวัน ตรงข้ามกับสิ่งที่รัฐบอกโดยสิ้นเชิงว่าให้ใจเย็นๆ ทุกอย่างค่อยๆดีขึ้น
เมื่อประชาชนไม่เชื่อในรัฐบาลอีกต่อไป เเละไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อ พวกเขาจึงสร้างเเนวทางปฏิบัติขึ้นมาเอง มันจึงเกิดเป็นข่าวลวง ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความตื่นตระหนกของผู้คน
ผู้คนเริ่มคิดว่าเชื้อนี้เกิดจากกองทัพเยอรมัน , เริ่มเชื่อว่าสุนัขเป็นพาหะนำโรค ทำให้สุนัขถูกฆ่าตายในแอริโซนากว่าพันตัว, ผู้คนหลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกันเเล้วใช้วิธีตะโกนใส่กันเเทน , ที่ซานฟรานซิสโกตำรวจได้ยิงประชาชนเสียชีวิตเพราะเขาไม่ยอมใส่หน้ากากป้องกัน , บิลลี่ ซันเดย์ ( Billy Sunday ) ผู้มีชื่อเสียงที่อุทิศตนให้กับศาสนา ถือโอกาสบอกประชาชนว่า โรคนี้เกิดจากบาปที่ชาวสหรัฐฯได้สร้างไว้ เขาจึงนัดผู้คนให้มาร่วมสวดมนต์พร้อมๆกันเพื่อจะได้ปัดเป่าโรคนี้ให้พ้นไป ผลปรากฎว่าในขณะที่รวมตัวกันสวดมนต์ หลายๆคนล้มลงไปกับพื้นเเละเสียชีวิตในเวลาต่อมา
การปกปิดข่าวไปเรื่อยๆเเล้วค่อยมาบอกความจริงเมื่อสถานการณ์เลวร้ายไปเเล้วในชั่วข้ามคืน มีเเต่จะสร้างความเเตกตื่นให้เเก่ผู้คนเป็นเท่าตัว
ต้องทำอะไรสักอย่าง
มีข่าวว่าวัคซีนได้พร้อมใช้งานเเล้วตั้งเเต่เดือนตุลาฯ เเต่พวกเขาผลิตได้ในจำนวนไม่มากนัก ซึ่งคนที่จะได้รับวัคซีนก่อนคือทหาร เพราะกลุ่มคนที่ผลิตวัคซีนนี้ได้คือ Rockefeller Institution ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อกลาโหม ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆต่างตั้งคำถามต่อวัคซีนตัวนี้
พวกเขามองว่ามันผิดปกติ ดูทุกๆอย่างมันรวดเร็วไปหมด จนภายหลังก็พบว่ายาตัวนั้นใช้ไม่ได้ผลจริงๆ ลักษณะของมันคล้ายๆกับการเอายาหลายๆตัวมาปั่นรวมกันแล้วคาดหวังว่ามันจะกำจัดไวรัสตัวนี้ได้บ้าง
ซึ่งท้ายที่สุดก็พบว่าการรักษาตามอาการไปเรื่อยๆได้ผลที่สุด เพียงแต่ว่ามันจะใช้เวลานานเกินไปต่อการดูแลผู้ป่วยหนึ่งคน ทำให้ไม่สามารถดูเเลผู้ป่วยได้ทั่วถึง
ทหารยังคงถูกส่งไปที่ยุโรปตามคำสั่งของวูดโรว์ วิลสัน ทั้งๆที่มีทหารหลายนายตายระหว่างทางก่อนที่จะขึ้นฝั่งด้วยซ้ำ ( วูดโรว์ วิลสันติดเชื้อตัวนี้ด้วย และสุขภาพของเขาก็ย่ำเเย่หลังจากนั้นเป็นต้นมา จนเสียชีวิตในปี 1924 )

นอกจากเรือขนส่งทหารแล้วยังมีเรือประเภทอื่นๆที่มีคนติดเชื้อเช่นกัน เอาเป็นว่าเรือทุกๆลำที่ใช้ในการขนส่งจะมีคนติดเชื้ออยู่ภายในเเทบทั้งสิ้น
เชื้อจะถูกแพร่ไปยังเจ้าหน้าที่ที่ท่าเรือ เเล้วถูกส่งต่อไปยังชุมชนของเจ้าหน้าที่อีกทอดหนึ่ง
เช่นที่เกิดในแอฟริกา ในเมืองคิมเบอร์ลี ( Kimberley ) เมืองที่มีเหมืองอัญมณีที่นั่น มีเรือที่จะเข้าไปรับสินค้าอยู่ตลอด ผู้คนติดเชื้อจากเรือลำนั้น เเล้วส่งต่อไปยังคนที่ทำงานในเหมืองที่เต็มไปด้วยกรรมกรผิวดำ
จนคนในเหมืองเริ่มหวาดระแวงกันเอง คนขาวเริ่มโทษคนดำ หาว่าเป็นตัวเเพร่เชื้อ

ท้ายที่สุดมันถูกกำหนดเป็นกฎหมายโดยอ้างถึงเรื่องสุขอนามัย ว่าคนผิวดำไม่มีสิทธิ์เข้ามาในพื้นที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วก็มีกฎมากมายที่เเบ่งเเยกคนผิวดำอื่นๆหลังจากนั้น ทำให้พวกเขาต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกเเล้วเเพร่เชื้อกันเองภายในนั้น
ภายหลังพบว่ามีชาวแอฟริกันเสียชีวิตจากโรคระบาดนี้ราว 5 เเสนคน
ที่อินเดียผู้คนเสียชีวิตจากโรคนี้ราว 17 – 20 ล้านคน แม้เเต่ มหาตมะ คานที ก็ติดโรคนี้ด้วย
ที่อินโดนีเซียราวๆ 4 ล้านคน , ที่รัสเซีย 1 ล้านคน , ที่สหรัฐ 7 แสนคน , ที่ฝรั่งเศส 4 แสนคน
เเม้เเต่ในพื้นที่อันห่างไกลอย่างอะแลสกาหรือ หมู่เกาะเล็กๆทางมหาสมุทรเเปซิฟิกก็ยังติดโรคนี้ จนคนพื้นเมืองกลัวเรือที่จะเข้ามาเทียบที่ชายฝั่ง

จุดสิ้นสุด
อาการของโรคระบาดนี้จะเเบ่งเป็น 3 ช่วง
ช่วงเเรกจะมีอาการแสดงออกมา แต่มันจะต่างกันไปในเเต่ละคน บางคนก็เเสดงอาการเหมือนไข้หวัดทั่วๆไป ช่วงที่ 2 เราพอจะรู้ว่าติดเชื้อมาจากที่ไหน จะมีการเจ็บป่วยที่รุนเเรง มีคนเสียชีวิตเยอะที่สุด และคาดเดาได้ยากที่สุดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ช่วงที่ 3 อาการจะเบาลง ส่วนหนึ่งจะติดมาจากมีคนที่อยู่รอดจากช่วงที่ 1 และ 2 อีกส่วนจะรับเชื้อเข้ามาใหม่เเต่ก็จะไม่รุนเเเรงเท่าช่วงที่ 2 การติดเชื้อจะกระจายเป็นวงกว้าง และจะไม่รู้ว่าติดมาจากใคร
ช่วงนี้ผู้คนจะเริ่มสร้างระบบป้องกันตัวจากโรคระบาดนี้และมีเเนวโน้มว่าจะไม่เป็นอีก หรือยากที่จะเป็นอีก เเต่ก็ยังสามารถเเพร่เชื้อไปให้คนอื่นอยู่ดีถึงเเม้จะมีอาการดีขึ้นแล้ว
เดือนพฤศจิกายน 1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้จบลง ผู้คนต่างออกมาเฉลิมฉลองตามท้องถนน ทำให้โรคระบาดนี้ยังคงเเพร่กระจายไปอีก แต่อาการของมันจะไม่รุ่นเเรงเหมือนในช่วงก่อนๆ
ผู้คนเริ่มมีเวลามานับกันว่าประชากรโลกล้มตายไปเเล้วเท่าไรจากโรคระบาดครั้งนี้ ซึ่งพบว่าภายใน 18 เดือนหลังจากที่มีการพบโรคระบาดนี้ มีคนตายไปเเล้ว 3-6% ของประชากรทั่วโลก หรือราวๆ 50 – 100 ล้านคน
จนมาถึงในปี 1920 จู่ๆ โรคนี้ก็หายไปเฉยๆ ง่ายๆเเบบนี้แหละ
ยังไม่มีใครหาวัคซีนได้ด้วยซ้ำ จนมาปี 1938 ถึงค่อยมีคนหาวัคซีนป้องกันโรคนี้ได้
นี่อาจเป็นเหตุผลที่ผู้คนไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้มากนักเพราะมันไม่มีฮีโร่ตัวจริง เรื่องราวไม่ค่อยเร้าใจเท่ากับเรื่องสงคราม ที่เมื่อลองสืบค้นข้อมูลเหตุการณ์ในช่วงนั้นดูก็มีเเต่เรื่องสงครามเต็มไปหมด ทั้งๆที่มีเเพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร เสียชีวิตมากมายในการเสียสละครั้งนั้น
หลังจากเสร็จสิ้นสงครามโลก ทหารหลายๆนายได้กลับบ้านแต่ก็พบว่าครอบครัวของเขาเสียชีวิตกันหมดเเล้ว และญาติ ๆ ก็คงรู้สึกดีกว่าถ้าลูกหลานของพวกเขาเสียชีวิตที่สนามรบ ไม่ใช่เสียชีวิตด้วยโรคระบาด
บางทีเรื่องมันน่าเศร้าเกินกว่าจะพูดถึงมันอีก
ประวัติศาสตร์เขียนโดยคนไม่กี่คน เพื่อให้เราเชื่อในสิ่งบางสิ่งที่เขาต้องการจะให้เราเชื่อ
ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน มีส่วนสำคัญที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุด เขายังได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด้วยในปี 1919
เเต่ในอีกทางหนึ่งเขาก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของคนหลายล้านคนทั่วโลกจากโรคระบาดนี้เช่นกัน เพราะเพิกเฉยต่อคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาโดยตลอด
วิกฤตคือโอกาส
ทุกวันนี้ผู้คนเริ่มจะเข้าใจเเล้วว่า การดื่มน้ำอุ่น ล้างมือให้สะอาด ก็สามารถป้องกันเชื้อได้เเล้ว เเต่สมัยนั้นผู้คนไม่รู้อะไรเลย ไม่มีใครรู้เเน่นอนว่าโรคนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน จะจบลงเมื่อไร และจบลงได้อย่างไร
“ความไม่รู้” เหล่านั้นทำให้วงการเเพทย์ตื่นตัวอย่างมากในเรื่องไวรัส จนไวรัสวิทยาได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1933
ได้มีการก่อตั้ง CDC ขึ้นในปี 1946 เพื่อควบคุมสถานการณ์ยามที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ได้ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1931 เพราะในช่วงที่เกิดโรคระบาดตอนนั้น กล้องจุลทรรศน์เเบบเก่าไม่สามารถส่องเห็นตัวไวรัสได้
งานวิจัยเกี่ยวกับโรคระบาดวิทยาเเพร่หลายมากขึ้น เช่นเดียวกับบทบาทของผู้หญิงในวงการแพทย์และงานด้านการช่วยเหลือสังคม พวกเธอมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะมองเห็นว่าตัวเองก็สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เช่น การช่วยชีวิตใครสักคน
ดร.ออสวาร์ด ( Dr.Oswald Avery ) ที่เคยร่วมทำงาน กับ ดร.เวลช์ ในช่วงที่เกิดโรคระบาด ได้นำสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นมาคิดวิเคราะห์ ต่อยอด และตั้งคำถาม
20 ปีต่อมา เขาได้ค้นพบว่า DNA เป็นตัวส่งต่อพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น และจะพบได้ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
แนวทางการศึกษาของเขาทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การปรับแต่งพันธุกรรม” ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่จะมีความสำคัญมากๆในอนาคต
ในปี 1998 นักวิจัยได้ไปสำรวจซากศพที่อะแลสกา พวกเขาพบว่าเชื้อที่ระบาดในครั้งนั้นคือ H1N1 ( influenza A ) ที่มีต้นทางมาจากสัตว์ปีก เช่นเดียวกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 อีกทั้งยังพบว่าโรคระบาดนี้ยังคงมีการเเพร่กระจายอยู่จนถึง ปี 1957
สำหรับผู้ป่วยที่เนื้อตัวมีรอยช้ำเป็นสีน้ำเงิน พวกเขาจะเสียชีวิตจากภูมิคุ้มกันตัวเองไม่ใช่เชื้อไวรัส เป็นเหตุให้คนหนุ่มสาวที่แลดูสุขภาพดีเสียชีวิต เพราะคนเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี ไม่เหมือนไวรัสอื่นที่เข้าจู่โจมเด็กและผู้สูงอายุ
ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าโรคมรณะนี้หายไปไหน เกิดจากที่ไหนกันแน่ แล้วไปอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ ทำได้เเต่เพียงตั้งสมมติฐานว่ามันอาจจะกลายพันธุ์ซ่อนอยู่ในร่างกายมนุษย์ ในสัตว์ ในโรคต่างๆ
มันอาจเเค่รอเวลา ที่จะกลับมาจู่โจมมนุษย์ในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง ในตอนที่เราไม่ทันตั้งตัว หรือในตอนที่เราคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง เพียงเพราะว่ามันไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้
หวังเเต่เพียงว่า พอถึงเวลานั้น “โลกที่ต่างกันของเรา” จะขยับเข้ามาใกล้กันมากกว่านี้
ใกล้พอที่จะได้ยินในสิ่งเดียวกัน และเข้าใจถึงปัญหาเหมือนๆกัน

Sources:
Did the 1918-19 Influenza Pandemic Originate in China? – www.jstor.org
How a killer flu spread from western Kansas to the world – www.kansas.com
The Influenza Pandemic Of 1918-1919 – scholars.unh.edu
Why the 1918 Spanish flu defied both memory and imagination – wellcomecollection.org