ภาพยนตร์ 50 เรื่องที่ดีที่สุด [ ในช่วง 2000 – 2009 ] – The Vapor

มีผู้กำกับที่สำคัญหลายๆคนแจ้งเกิดในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น M. Night Shyamalan , Edgar Wright , Hirokazu Koreeda , Darren Aronofsky , Christopher Nolan , Peter Jackson,  Park Chan Wook , Bong Joon Ho , Yorgos Lanthimos , Alfonso Cuarón , Alejandro Iñárritu , Guillermo del Toro , Noah Baumbach  , Wes Anderson

รวมถึงนักเเสดงหลาย ๆ คนที่ได้แจ้งเกิดจากบทเล็กๆ แต่ก็กลายมาเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในทศวรรษต่อมา เช่น  Rachel McAdams , Jared Leto , Joaquin Phoenix , Scarlett Johansson , Sally Hawkins , Mark Ruffalo , Jamie Foxx , Hugh Jackman , Casey Affleck , Sam Rockwell , Jeremy  Renner เห็นได้ชัดว่า กำเเพงทางวัฒนธรรมระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกเริ่มที่จะถูกทลายลงไปเรื่อย ๆ อย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนในวงการหนังไทยก็เช่นกัน นี่ถือเป็นยุคที่มีผู้กำกับหน้าใหม่ฝีมือดีได้เเจ้งเกิดขึ้นมามากมาย ประเภทของหนังมีความหลากหลายกว่าปัจจุบันมาก เช่น  Last life in the universe , สยิว , แฟนฉัน , สัตว์ประหลาด , ชัตเตอร์ , 15 ค่ำเดือน 11 , โหมโรง , มนรักทรานซิสเตอร์ , บุพผาราตรี , องค์บาก , เพื่อนสนิท , Fake , The eyes , ฟ้าทะลายโจร , เป็นชู้กับผี

ความหลากหลายและคุณภาพของหนังไทยในยุคนั้น ทำให้วงการภาพยนตร์ไทยดูมีอนาคตมาก ๆ [ Last life in the universe , สัตว์ประหลาด , องค์บาก ]
สิ่งที่สำคัญมากๆ ที่นักสร้างสรรค์ไม่ควรถูกกระทำเลยคือการที่พวกเขาต้องฝึกฝนในการ “เซนเซอร์ตัวเอง” อยู่ตลอดด้วยข้อจำกัดบางอย่าง ส่งผลให้เห็นในปัจจุบันว่าวงการหนังไทยนั้นดูอ่อนแอมาก ๆ เมื่อเทียบกับศักยภาพที่(เคย)มีอยู่ ราวกับถูกเเช่เเข็งเอาไว้ ไม่ต่างจากงานสร้างสรรค์อื่นๆ

ความมั่นคงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะเป็นตัวบงชี้อย่างหนึ่งว่าสภาพบ้านเมืองเอื้ออำนวยต่อการใช้ความคิดสร้างสรรค์มากแค่ไหน

มีหนังอินดี้เเนวทางใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายที่สร้างกระเเสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จนได้กลายเป็นหนังคลาสสิกในเวลาถัดมา เป็นยุคที่มีหนังหลากหลายจริงๆ ต่างจากยุคก่อนๆที่หนังใหญ่ๆนั้นที่เต็มไปด้วยผู้กำกับเก๋า ๆ หนังล่ารางวัลที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเดิม ๆ ตามขนบที่เราพอจะคาดเดาได้ว่าเราจะเจอกับอะไร ทศวรรษนี้เราจะได้เห็นหนังดีๆที่ให้ความบันเทิงสุดๆ มันถูกยกระดับให้มีบทมีความน่าสนใจมากขึ้น ลึกมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น  หน้าตาของ “หนังรางวัล” จึงเปลี่ยนไปมากจากเดิมที่ดูดรามาจัด ๆ

มีหนังดี ๆ หลายเรื่องที่เราเสียดายสุด ๆ ที่ไม่สามารถนำเข้ามาอยู่ในลิสต์หนังทั้ง 50 เรื่องข้างล่างนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น  Match point , Sin City ,  Cloverfield , The Boy in the Striped Pyjamas , The Wrestler , 28 Days Later , Once , Y tu mamá también , The Cell , The Diving Bell and the Butterfly , The Motorcycle Diaries , The Sea Inside , Munich , Sideways , The Squid and the Whale ,  Cast Away , Where the Wild Things Are , Almost Famous ,  Hero , Talk to her , Hana&Alice , About a Boy , Lost in translation , Avatar , The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford , Good Bye Lenin! ,The Darjeeling Limited , Dogvile , Amelie , Adaptation , Yiyi

และต่อไปนี้คือหนังที่ดีที่สุด 50 เรื่อง ในช่วงปี 2000 – 2009

50. Battle Royale ( 2000 )

“เยาวชนปลดแอ๊ก”

ก่อนที่โลกจะมี The Hunger Games หรือ The Maze Runner เรามี Battle Royale มาก่อน หนังเรื่องนี้ถูกแบนในหลายประเทศเพราะภาพความรุนเเรงของมัน  มันเป็นหนังเเนววัยรุ่นเอาชีวิตรอดแนวซาดิสต์ เต็มไปด้วยความรุนแรง โลกสวยน้อยกว่า เราพยายามหาความดีในผู้คนและเราก็เจอ ถึงแม้ว่าจะมีน้อยเหลือเกิน แต่มันก็ทำให้เรามีความหวัง และได้ลุ้นตั้งเเต่ต้นจนจบจนอยากให้พวกเขารอดออกมาได้  สำหรับคอหนังที่ชอบแนวโหด ๆ เลือดเยอะ ๆ ดูสมจริงหน่อย หนังเรื่องนี้จะเป็นทางของคุณ

49. The Departed ( 2006 )

“เมื่อเราไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย”

นี่เป็นอีกตัวอย่างที่ดีของการรีเมคหนังที่มีการดึงจุดเด่น และลบจุดด้อยของหนังต้นฉบับออกไปได้แบบลงตัว นอกจากนี้หนังยังเป็นเหมือนสนามประลองพลังของนักเเสดงเเถวหน้าของวงการ ที่ปล่อยพลังใส่กันไปมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสนุก กดดัน ตั้งแต่ต้นจนจบ ตามแบบฉบับของหนังตำรวจเลว-ดี ที่ควรจะเป็น

48. The Host ( 2006 )

“สถานการณ์เลวร้ายจะปลุกฮีโร่ในตัวคุณ

บองจุงโฮเคยบอกว่า เขาเกลียดหนังสัตว์ประหลาดที่คนดูจะต้องคอยลุ้นว่าหน้าตาของมันจะเป็นยังไงในตอนท้ายๆเรื่อง เขาก็เลยทำสวนทางในเรื่องนี้ คือให้คนดูเห็นหน้ามันไปเลยตอนต้นเรื่องแล้วให้คนดูคอยลุ้นในประเด็นอื่นเเทน นอกจากความขบถในตัวเขาเเล้วสิ่งหนึ่งที่ชอบมากๆในตระกูลหนังของบองจุงโฮ คือ ความเป็นหนังตลาด ที่พูดถึงครอบครัวธรรมดา ๆ ที่จะต้องเผชิญหน้ากับอะไรสักอย่างยาก ๆ ร่วมกัน ทำให้ทุกคนเข้าถึงหนังของเขาได้ไม่ยาก The Host ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครมากกว่าหนังสัตว์ประหลาดเรื่องไหน ๆ มันทั้งตื่นเต้นลุ้นระทึกตั้งแต่ต้นจนจบ มีการเสียดสีสังคม การเมือง แบบเนียน ๆ ผ่านการเเสดงโอเวอร์แอคติงที่มีความเป็นการ์ตูนสูง ผสมกับฉากตลก , ฉากดรามาเศร้า ๆ สุข ๆ ที่แลดูสมจริง ตามแบบฉบับที่บองจุงโฮถนัด

47. Shaun of the Dead ( 2004 )

“ฌอนคือคนธรรมดาที่อยากกินเบียร์ไปวัน ๆ เบื่องาน ต้องตามง้อแฟน แต่ก็ต้องฆ่าซอมบี้ไปด้วย”

เมื่อก่อนซอมบี้ถูกมองว่าเป็นหนังเรทบี ทุนต่ำ เนื้อหาไม่ซับซ้อน จะมีฉากวาบหวิวเล็ก ๆ หลักคือการไล่ล่ากันธรรมดา แล้วก็ค่อย ๆ หายไปไม่เป็นที่นิยมอีก แต่เเล้วกระเเสมันก็กลับมาอีกครั้งในช่วง 2004 ที่มีทั้งหนังเรื่องนี้และ 28 days later ออกฉาย จากนั้นหนังซอมบี้จึงค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มีเเนวทางหลากหลายมากขึ้น  แต่ Shaun of the Dead ยังคงเป็นหนังโรเเมนติกคอมเมดี้ซอมบี้ของพระเอกแนวลูซเซอร์ที่ลงตัวที่สุดและมีเอกลักษณ์ที่สุด เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว เข้าถึงง่าย มีคาเเรคเตอร์ที่น่าสนใจ คาดเดาไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

46. Unbreakable ( 2000 )

“มิติใหม่ของหนังลึกลับ”

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Unbreakable คือสิ่งที่สดใหม่มาก ๆ ในตอนนั้น ไมมีใครนึกถึงมาก่อนว่าเขาจะเล่นประเด็นนี้  คนดูจะไม่รู้เลยว่าหนังมันจะเล่าเกี่ยวกับอะไร จนถึงช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเรื่องที่ทุกอย่างจะคลายปมออกมา และวิธีการคลายปมของมันก็สุดแสนจะออริจินัล เป็นหนังในแบบที่ยิ่งรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี

45. Departures ( 2008 )

“วัฒนธรรมที่บีบเค้นทำให้เราเชื่อในสิ่งที่ไร้เหตุผล”

หนังญี่ปุ่นหลาย ๆ เรื่องมักจะฉายภาพวัฒนธรรมความเชื่อบางอย่างที่ผู้คนตั้งคำถามว่ามันควรจะมีอยู่ไหม ผสมกับปัญหาสังคมของคนชั้นกลางที่ต้องคล้อยตามวิถีความเชื่อแบบนั้นอย่างจำยอม Departures แข็งแรงมาก ๆ ในเรื่องนี้ เขาหยิบยกประเด็นหนัก ๆ ออกมาถ่ายทอดในเชิงขบขัน เต็มไปด้วยเสน่ห์ สุดแสนจะอบอุ่นและให้แรงบันดาลใจ

44. PULSE ( 2001 )

“เป็นทั้งหนังผีและหนังของคนเหงา?”

นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่เรามักจะเเนะนำอยู่เสมอสำหรับคนที่ชอบหนังผีที่เป็นมากกว่าหนังผีทั่วๆไป มันเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีที่ถึงแม้จะดูง่ายแสนง่ายแต่ก็ชวนให้เราหลอนลึกจนติดตา สลับกับฉากที่ทำให้เราตกใจอยู่บ้างแต่ก็ดูมีชั้นเชิงไม่ดูยัดเยียด เรื่องราวก็ชวนเราติดตามตั้งแต่ต้นจนจบทั้งยังแฝงแง่คิดที่หาได้ยากจากหนังเรื่องใด

43. Dogtooth ( 2009 )

“ชีวิตที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง”

เราคาดเดาอะไรไม่ได้เลยในหนังของยากอสเเต่นั่นคือความกล้าของเขาที่เราชอบ หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในลีลาการเสียดสีสังคมตามแบบฉบับของเขา หนังพาเราไปเจอกับพล็อตที่แปลก ภาพที่รบกวนใจ รบกวนสมอง ฉาก18+ที่เราไม่คาดคิด ฉากตลก ๆ ที่มีเอกลักษณ์ การพลิกผันของตัวละคนที่ทำให้เราตกใจ หนังมีความโรคจิตสูงซึ่งคนดูต้องเตรียมใจพอสมควร เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่เบื่อหนังโลกสวยที่มีสูตรเดิม ๆ

42. Napoleon Dynamite ( 2004 )

“คาแรคเตอร์คือทุกสิ่ง”

สิ่งสำคัญที่เราเรียนรู้จากหนังเรื่องนี้คือ หนังตลกเนิร์ด ๆ ที่มีพล็อตธรรมดา ๆ แต่เต็มไปด้วยคนที่มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจ มีวิธีคิดที่เป็นเอกลักษณ์ ก็สามารถอุ้มหนังให้มันดูสนุกจนจบเรื่องได้ ซึ่งกลายเป็นว่า การสร้างคาแรคคเตอร์ให้โดดเด่นเเตกต่างกลายเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในหนังอินดี้สมัยใหม่

41. Elephant ( 2003 )

“เรียบง่ายแต่ทรงพลัง”

เหตุก่ารณ์ในหนังเกิดขึ้นไม่เกิน 20 นาที แต่หนังมันยาวประมาณ 90 นาทีได้ยังไง? กัส แวน เเซน ทำเรื่องนี้ออกมาได้น่าสนใจและเป็นธรรมชาติมาก ๆ ลึกลับ ดูละมุล ประเด็นของมันหนัก รุนแรงแต่กลับดูสบาย ชวนให้ติดตาม เรารู้อยู่แล้วว่าตอนจบเป็นยังไงแต่เหมือนเขาพาเราไปสำรวจเส้นทางระหว่างทางซึ่งกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า

40. Sympathy for Lady Vengeance ( 2003 )

“บทบรรเลงของความแค้น”

สิ่งที่เราเห็นเสมอมาในหนังปัคชานวุคช่วงนั้น คือ เขาพยามหาโทนหนังที่ลงตัวที่สุดสำหรับตัวเอง เขาทำหนังดี หลากหลายเป็นที่ยอมรับ ดูดิบเถื่อน ดูรุนเเรง มีความกล้า แต่ขาดการเข้าถึง ใน SYMPATHY FOR MR. VENGEANCE เขาทำออกมาได้สุดยอด แต่หนังก็เหมือนยังแมสไม่พอและดูเป็นรองบองจุงโฮอยู่หน่อย ๆ จนมาถึงหนังเรื่องนี้ที่เราคิดมันมีส่วนผสมที่พอดีที่สุด ถ้าใครชอบหนังบองจุงโฮในเวอร์ชันที่ดิบกว่า เถื่อนกว่า นี่จะเป็นผลงานเบา ๆ ที่เหมาะที่สุดที่จะลอง

39. Minority Report ( 2002 )

“หนังซัมเมอร์ที่ควรจะเป็น”

นานมาแล้วเราเฝ้าติดตามหนังในช่วงซัมเมอร์ของอเมริกา เพราะมันเต็มไปด้วยหนังฟอรมยักษ์และมีความหลากหลาย เเละทุกครั้งที่มีชื่อของสตีเวน สปีลเบิร์กเราจะรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องไปดู นี่เป็นหนึ่งในหนังแอคชั่น sci-fi สายบันเทิง ที่ชมกันได้ทั้งครอบครัว ทั้งชายและหญิง เป็นหนังอีกเรื่องที่ฉายบ่อยมาก ๆ ในหน้าจอทีวีตราบจนมาถึงปัจจุบัน เเสดงให้เห็นคุณภาพของหนังได้เป็นอย่างดีว่าหนังบางเรื่องเนี่ยยากที่จะตกยุคจริง ๆ

38. Mean Girls ( 2004 )

“หนังวัยรุ่นที่กลายเป็นตำนาน”

ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ว่าหนังเรื่องนี้สนุก แต่ใครจะเชื่อว่าหลายสิบปีต่อมา ยังไม่มีหนังเรื่องไหนที่ทำได้เทียบเท่ากับ Mean Girls เลย เพราะมันได้จับความรู้สึกของหนังวัยรุ่นเอาไว้ได้หมด ทั้งตัวละครที่มากเสน่ห์ น่าจนจำ เนื้อเรื่องสนุกไหลลื่น เหวี่ยงไปมา คาดเดาไม่ได้เหมือนอารมณ์ของวัยรุ่น บทพูดที่ดูจริง แรด ๆ ร้าย ๆ จิกกัด ตลก เป็นธรรมชาติ การลองผิดลองถูกบางอย่างของตัวละครที่กำลังจะเติบโตขึ้น ดูสับสน ๆ และน่าเอาใจช่วย ทั้งหมดกลายเป็นสแตนดาร์ดความบันเทิงของหนังวัยรุ่น ที่ไม่ควรจะต่ำกว่าเรื่องนี้

37. Requiem for a Dream ( 2000 )

“เหมือนได้ดูในสิ่งที่ไม่ควรดู”

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของผู้กำกับ Darren Aronofsky คือการดึงอารมณ์ของคนดูด้วยงานภาพบางอย่าง ซึ่งมันเหมาะกับเรื่องนี้มาก มันสับสนในบางทีเเต่มันให้ผลลัพธ์ในเชิงบวก บางทีหนังเหมือนโยนอารมณ์ออกมาหาเราตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม เหมือนการพุ่งชนอะไรสักอย่างแรง ๆ กระแทกเข้ามา ทำให้เรามึนสักครู่ แล้วก็โดนอีก ซ้ำแบบนี้เรื่อย ๆ พอเราเริ่มจับทางได้เราก็เริ่มสนุกไปกับมันเพราะมันทำให้รู้สึกว่าหลุดเข้าไปในโลกของพวกเขาจริง ๆ เป็นประสบการณ์หลอน ๆ ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง หนังจะมีภาพที่รุนแรงหลาย ๆ ฉาก อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน

36. Happy-Go-Lucky ( 2008 )

“การแสดงที่ยากจะคาดเดา”

ไมค์ ลีห์เป็ผู้กำกับที่เชี่ยวชาญในการสร้างตัวละครให้ดูน่าสนใจ เขารู้วิธีการดึงศักยภาพของนักเเสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ ดูน่าเชื่อถือ หนังของเขาจะใช้นักเเสดงเป็นศูนย์กลางของเรื่องเสมอ มันจึงทำให้เราเห็นว่าขอเพียงเเค่สร้างตัวละครให้มันดีกับบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างมันก็จะดีไปเองของมัน จากโครงเรื่องที่อาจธรรมดา ไม่เเข็งเเรงมากนัก ก็กลายเป็นบทที่ดีขึ้นมา เป็นตัวอย่างของการเเสดงที่ดีอย่างแท้จริงที่ไม่จำเป็นต้องใช้บทดรามาหนัก ๆ เพื่อดึงความสามารถของนักแสดงออกมา

35. Collateral ( 2004 )

“นี่อาจจะเป็นบทที่ดีที่สุดของทอม ครูซ”

หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นมุมมองที่น่าสนใจของหนังเเนวแอคชั่นไล่ล่า ตามเก็บตัวละครไปเรื่อย ๆ มันไม่ใหญ่โตโครมครามแต่ดูสมจริงและเท่ พล็อตของมันไม่ซับซ้อน ชัดเจน แต่วิธีการติดตามของสองตัวละครนั้นมันทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ เรารู้สึกใกล้ชิดกับพวกเขามาก ๆ เหมือนเรานั่งไปบนแท็กซี่ไปด้วย ส่วนคาแรคเตอร์ของพวกเขาก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ชวนให้ติดตามเอาใจช่วยมาก ๆ คิดว่านี่อาจเป็นบทที่ดีที่สุดของทอม ครูซเลยทีเดียว

34. Nobody knows ( 2004 )

“เด็กในโลกที่ผู้ใหญ่ไม่ยอมโตมีอำนาจ”

โคโรเอดะจะเก่งมาก ๆ ในการซ่อนความหดหู่ไว้ข้างหลังฉากหน้าที่ดูน่ารักอบอุ่นใส ๆ พาสเทลแบบญี่ปุ่น ๆ เขาจะหลอกเราด้วยภาพที่สดใสในเรื่องราวที่เจ็บปวด และปัญหาสังคมที่ดูเหมือนจะแก้ไม่ได้ หนังเรื่องนี้จะเป็นเหมือนชื่อเรื่องเลยคือเราจะไม่รู้อะไรเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากเข้าไปช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยยังไงดี ทำให้เราเหมือนเด็กที่หาพ่อแม่ไม่เจอในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือ ทุกอย่างมันดูจริงไปหมด รู้สึกว่าเราเข้าไปสังเกตอยู่ในครอบครัวนี้อย่างใกล้ชิดจริง ๆ

33. Slumdog Millionaire ( 2008 )

“สิ่งสมมติที่ดูน่าเชื่อถือและน่าหลงรัก”

หลายปีก่อนเราหลงใหลกับเรื่องราวของ Forest Gump เพราะมันทำให้เราหลบหนีจากโลกแห่งความจริงได้ในระดับหนึ่งเเต่ก็ไม่หลุดจนเราสัมผัสความจริงไม่ได้ Slumdog Millionaire ให้ความรู้สึกกับเราแบบนั้น คือ นี่คือหนังนะไม่ใช่เรื่องจริงแต่เราก็สามารถสนุกไปกับมันได้ราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นหนังที่เรารู้ตอนจบแต่ก็ยังอยากจะติดตามชีวิตของตัวละครไปเรื่อยจนถึงฉากสุดท้าย

32. Signs ( 2002 )

“หนังครอบครัวแบบเอ็มไนซ์ฯ”

สิ่งที่ชอบมาก ๆ ในหนังของเอ็มไนซ์ฯ คือ การมีฉากที่น่าจดจำ มีเอกลักษณ์ และมีบทสนทนาธรรมดา ๆ ที่ดีมาก ๆ เต็มไปหมด เกินกว่าหนังลึกลับสยองขวัญทั่ว ๆ ไป อีกทั้งยังมีการนำเสนอได้อย่างน่าสนใจต่อประเด็นของครอบครัว และการมีอยู่ของพระเจ้า!?! การเเสดงของนักเเสดงหนุ่มอย่างวาคีน ฟีนิกซ์ ที่ดูจะฉายเเววมาก ๆ ว่าเขาคือนักเเสดงคุณภาพซึ่งเขาก็พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วในผลงานต่อ ๆ มา เพลงประกอบที่เข้ากำจังหวะได้สุดยอดของ James Newton Howard ก็ทำใหหนังตื่นเต้นไปอีกระดับ

31. Oldboy ( 2003 )

“เดือด พลุ่งพล่าน หยุดไม่อยู่”

เป็นผลงานแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวให้กับปัคชานวุคในเวทีโลก มันจะทำให้คุณหลอน ลุ้น หวาดเสียว โกรธเกรี้ยว ผ่านฉากการต่อสู้ที่ดิบเถื่อน ดูจริง แต่ก็ยังสามารถแฝงความตลกได้เป็นระยะอย่างลงตัว เป็นหนังอีกเรื่องที่คุณควรจะรู้ให้น้อยที่สุดแต่ก็ต้องเตรียมใจไว้นิดหน่อยกับงานภาพที่ดูรุนแรงสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบ

30. The Pianist ( 2002 )

“หดหู่ รันทดแต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง”

เป็นหนังประเภทที่ดูเสร็จปั๊ปก็จะบอกได้เลยว่า”เอาออสก้าร์ไปเลยจ้าบวกรางวัลนำชายด้วย”เทรนด์ของการทำหนังที่อิงมาจากเรื่องจริง อาจจุดติดขึ้นมาจากหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้จะตามหลอกหลอนคุณในความเศร้าข่มขืนที่ชาวยิวได้เผชิญในสงครามโลก แต่ในขณะเดียวกันมันยังสร้างเเรงบันดาลที่ยิ่งใหญ่ให้กับคุณได้ไปพร้อม ๆ กัน เป็นอีกชิ้นงานที่สำคัญมาก ๆ ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

29. You Can Count on Me ( 2000 )

“หนังเรียบง่ายที่มีหัวใจ”

หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรหวือหว่า ค่อนข้างเป็นไปตามสูตร  เเต่เต็มเปี่ยมไปด้วยหัวใจแบบสุด ๆ มันเป็นเรื่องราวธรรมดา ๆ ของพี่น้องที่กลับมาเจอกันหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง บทสนทนาที่ลื่นไหล เป็นธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเหมือนคนมาเปิดใจให้เราฟังจริง ๆ และเหมือนมีคนมารับฟังความรู้สึกของเราด้วยเช่นกัน

28. Oasis ( 2001 )

“โลกของคนธรรมดาที่มีความรัก”

นอกจากบทที่ยอดเยี่ยมของอีชางดองแล้ว สิ่งผู้คนต่างยอมรับในผลงานของเขาคือการเเสดงที่สุดยอดทะลุเพดานเกินมาตราฐานของนักเเสดงคนอื่นในวงการไปหลายเท่า และหนังเรื่องนี้คือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เราได้เห็นชัดเจน เรียกได้ว่าดูเเล้วอยากกราบนักเเสดงเลยทีเดียว

27. Harry Potter ( 2001 – 2010 )

“การต่อสู้ที่ยาวนาน”

คนที่โชคดีที่สุดของแฟนหนังในตำนานเรื่องนี้คือคนที่เติบโตไปพร้อม ๆ กับแฮรี่ในเเต่ละภาค เพราะคุณจะเข้าใจสภาพจิตใจของเเฮรี่ไปด้วยจริง ๆ เป็นการมอบประสบการณ์พิเศษที่ไม่เหมือนหนังเรื่องใดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้มันยังเป็นแหล่งบันทึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญของงาน CGI ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องในยุคนั้น

26. Finding Nemo ( 2003 )

“หนังครอบครัวที่เป็นอมตะ”

ถ้าจะหาหนังสักเรื่องที่เป็นค่ามาตรฐานของความสนุกในหนังของ pixar หนังเรื่องนี้จะเหมาะที่สุด มันเป็นหนังครอบน่ารักอบอุ่นที่ดูได้หลาย ๆ รอบ ย่อยง่าย ดูเพลิน เต็มไปด้วยตัวละครที่น่าสนใจ มีอารมณ์ขันที่ชอบทำตัวแปลก ๆ มีการผจญภัยที่อันตราย ตื่นเต้น ๆ อยู่ตลอดไม่ค่อยได้พัก การไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงหนังถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดจริง ๆ เพราะเหมือนว่าเราได้ดำดิ่งลงไปผจญภัยใต้น้ำกับพวกเขาจริง ๆ

25. WALL·E ( 2008 )

“การสื่อสารที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสารอาจจะดีที่สุด”

นี่เป็นหนังอนิเมชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งจะมอบความบันเทิงที่ต่างออกไปจากหนัง Pixar ทั่วไป แต่หนังก็ไม่ทิ้งสิ่งที่พวกเขาถนัดนั่นคือ เนื้อหาน่ารัก ๆ ที่ทำให้หัวใจของเราพองโต รู้สึกว่าเขากล้าที่จะเล่นแบบนี้ เพราะหนังไม่ได้มีบทพูดกันเลย ซึ่งบางทีเรามองว่ามันอาจจะมีพลังมากกว่าการพูดกันแบบปกติด้วยซ้ำ

24. Kill Bill: Vol. 1 – 2 ( 2003 – 2004 )

“การชำระแค้นในวิถีเฉพาะตัว”

ใน Kill Bill: Vol. 1 หนังจะพาคุณเพลิดเพลินไปกับฉากแอกชั่นกำลังภายในเท่ ๆ แบบเลือดกระฉูด ที่แทรกไปด้วยมุกตลกร้ายแบบเจ็บ ๆ หยาบ ๆ เสียดสีกันไปมา พร้อมกับบทเพลงกวน ๆ ติดหู และงานด้านภาพเเพรวพราว เหมือนการ์ตูนญี่ปุ่น ใน Vol.2 เราจะเจอกับการต่อสู้แนวเข้ม ๆ แมน ๆ หน่อย มันดูจริงจัง ดรามาขึ้นผิดตา แต่ก็น่าสนใจไปอีกแบบเหมือนต่อสู้กันทางจิตวิญญาณ ท้ายที่สุดมันคือหนังที่ดูจริงใจที่สุดของเควนติน เหมือนเขาได้ใส่ความรักของเขาลงไปในงานอย่างเต็มที่

23. Lust caution ( 2007 )

“ดำดิ่งเข้าสู่ภารกิจที่ยากที่สุดของมนุษย์”

อังลี เป็นผู้กำกับที่ไม่ได้มีเเนวทางที่ชัดเจนนัก รู้แต่ว่า “เออ..เขาทำหนังดีนะ” เขาเก่ง ดูเป็นคนใจดี เหมือนหัวหน้าห้องทั่ว ๆ ไปที่อาจารย์ให้ทำอะไรก็ทำ หรือเป็นกองกลางที่เอาเเต่จ่ายบอลง่าย ๆ ไปมา  แต่จุดเเข็งที่สุดของอังลีที่เราพอจะเห็นลาง ๆ คือ เขารู้จังหวะในการเปลี่ยนผ่านของตัวละครจากคนนิสัยเเบบนึงไปสู่คนนิสัยอีกอย่าง เขาทำได้ดีใน Brokeback Mountain, Life of Pi , Sense And Sensibility แต่เขาทำได้สุดยอดใน Lust caution หนังสงครามเย็นแนวแฟมินิสอีโรติก 18+ ที่สะท้อนความรู้สึกของผู้หญิงได้ทรงพลังที่สุด ถึงแม้เราจะคิดว่านักเเสดง “เปลืองตัว” เกินไปหน่อย แต่ก็หาหนังเรื่องอื่นมาทลายพลังของหนังเรื่องนี้ได้ยากจริงๆ

22. The Prestige ( 2006 )

“กดดัน ล้ำลึก มีเสน่ห์”

คนที่อาจจะถูกพูดถึงน้อยมาก ๆ ในวงการหนัง คือ Jonathan Nolan น้องชายของคริส ที่เขียนบทให้กับโนเเลนเกือบทุกเรื่อง งานของเขาโดดเด่นมาก ๆ ในเรื่องนี้ ในทุก ๆ มิติ โดยเฉพาะการพลิกแพลงไปมาของเนื้อเรื่องราวกับกำลังเล่นมายากลให้เราดูอยู่ หนังของโนเเลนมักจะมีปัญหาด้านอารมณ์เสมอ เขามักจะเน้นเรื่องการพลิกแพลงโครงสร้างเป็นส่วนใหญ่ เเต่เรื่องนี้เขาทำได้ดีมาก ๆ ในการสื่อสารด้านอารมณ์

21. Hidden ( 2005 )

“เมื่อเราโดนสอดเเนมตลอดเวลา”

หนังของฮาเนเก้มักจะให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่เชื่อใจอยู่เสมอ เขามักจะหยิบด้านมืดของมนุษย์ออกมาเล่นสนุก เช่นเดียวกับเรื่องนี้ การดำเนินเรื่องทำให้เราอึดอัด รู้สึกหลอนลึกถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรให้สยองขวัญก็ตาม บางทีจนเรารู้สึกโมโหเหมือนตัวละคร บางทีก็ไม่แน่ใจว่าเราควรคิดยังไงเพราะมันมีความเป็นไปได้ในทุกทาง เป็นหนังที่จะทำให้คุณตั้งคำถามมากมายต่อทั้งตัวหนังเองและสังคมรอบตัว เหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันมาก ๆ

20. All About Lily Chou-Chou ( 2001 )

“เราต่างต้องการพื้นที่สีเขียวในใจที่แห้งแล้ง”

หนังของชุนจิ อิวาอิ เต็มไปด้วยคนที่หัวใจเปราะบาง เหงา ๆ งานภาพชวนฝัน การโหยหาถึงอดีต เพลงบรรเลงมินิมัลหม่น ๆ แต่แฝงไปด้วยความหวังที่เล่าเรื่องเเทนบทสนทนา  ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาถนัดได้เป็นอย่างดี เป็นหนังสะท้อนปัญหาสังคมของหนุ่มสาวที่ยังดูทันสมัยอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าเรื่องเป็นการบูลลี่, การไร้ความผิดชอบของผู้ใหญ่ในสังคมหรือช่องว่างระหว่างวัย

19. Little Children ( 2006 )

“เด็กไร้เดียงสาที่ซ่อนในตัวเรา”

หนังเรื่องนี้มอบความรู้สึกให้กับเราหลายอารมณ์มาก มันทั้งตื่นเต้น ลุ้น ฉุกคิด เศร้า รบกวนใจ สงสาร สับสน วูบวาบ เร้าร้อน เห็นใจ อารมณ์ของมันเหวี่ยงไปมาเหมือนชิงช้าในสนามเด็กเล่น มันทำให้เราสนุกแต่บางทีเราก็กลัวว่าเราจะลอยออกมา มันจะให้อารมณ์เหมือนเมียหลวงจับเมียน้อยอยู่หน่อยสลับกับการที่เราจะต้องระเเวงฆาตกรโรคจิตไปด้วย อารมณ์ในหนังมีความซับซ้อนแต่ก็ถูกเล่าออกมาได้อย่างเรียบง่าย และน่าสนใจ ดึงดูดเราให้จดจ่อกับมันได้อย่างน่าอัศจรรย์

18. Before Sunset ( 2004 )

“ระยะห่างที่พอดี”

ถ้าสังเกตดี ๆ เราจะเห็นว่าทั้งคู่อยู่ห่างกันมากขึ้นกว่าเดิมจาก Before Sunrise หนังในภาคก่อนหน้านี้ บางทีนี่อาจเป็นระยะที่พอดีของความสัมพันธ์ เราจะได้เห็นบทที่มันเข้นข้นขึ้นผ่านบทสนทนาของคนที่ผ่านโลกมาสักระยะ ทำอะไรผิดพลาดมาสักอย่าง หรือหลาย ๆ อย่าง ล้มเหลว สมหวัง ผิดหวัง แล้วก็มาเเชร์เรื่องราวของเเต่ละฝ่ายให้รับรู้ถึงความรู้สึก แนะนำให้ดูภาคอื่น ๆ ต่อ หลังจากที่ดูภาคนี้จบ จะได้อารมณ์มาก ๆ

17. Mother ( 2009 )

“เมื่อแม่โมโห…ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้เสมอ”

นี่คือหนังที่เราควรจะรู้ให้น้อยที่สุด( อีกแล้ว ) หนังเรื่องนี้คือการโชว์การเขียนบทของบองจุงโฮอย่างแท้จริงว่าเขาก็สามารถทำหนักหักมุมไป ๆ มา ๆ ฉลาด ๆ ได้เหมือนกัน ความตื่นเต้น ลุ้นระทึก แทรกกับมุกตลกบ้าน ๆ มาพร้อมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือการเเสดงที่สุดยอดของตัวเอกที่ยากจะคาดเดาเหลือเกิน

16. Little Miss Sunshine ( 2006 )

“ความคาดหวังของยุคสมัย”

หลังจากหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ เราก็ได้ให้หนังอินดี้อเมริกันดี ๆ โผล่ออกมาเต็มไปหมด เนื้อหาของมันไม่เคยตกยุค ทั้งประเด็นเรื่องความฝัน ความหวัง ความสัมพันธ์ในครอบครัว ภาพมายาคติที่สังคมป้อนให้คุณตลอดเวลา การบริโภคนิยมของคนสมัยใหม่ การเติบโต เป็นหนังเสียดสีสังคม ตลกร้าย แต่ก็สามารถเยียวยาหัวใจได้ในขณะเดียวกัน ทำให้เราตกหลุมรักหนังได้อย่างง่ายดาย

15. Spring summer fall winter and spring ( 2003 )

“จริยธรรมร่วมสมัย”

ถ้าใครกำลังมองหาหนังที่ทำให้พบสัจจัธรรมในชีวิต แนวนิทานอีสป เป็นปริศนาธรรม ไม่โลกสวย ไม่มีนรกสวรรค์ เข้าถึงได้ ไม่ยัดเยียด ชิล ๆ สบาย ๆ หนังเรื่องนี้จะเหมาะกับคุณ แต่คุณต้องพร้อมประมาณหนึ่ง เพราะนี่จะเป็นการเดินทางที่จริงจัง คุณอาจจะเห็นภาพที่ไม่อยากเห็น เจอความรู้สึกที่ไม่อยากเจอ งง ๆ บ้างเพราะไม่ใช่ทุกอย่างที่หนังจะอธิบายเพราะเขาจะใช้วิธีอุปมาอุปมัยแทน แต่เมื่อคุณดูเสร็จคุณจะรู้สึกว่าว่าเกิดปัญญาในตัวคุณ รู้สึกเข้าใจสัจธรรมของโลกมากขึ้น ยากมาก ๆ ที่หนังเรื่องไหนจะเหมือนกับเรื่องนี้

14. The Dark Knight ( 2008 )

“การพลิกโฉมที่สำคัญของหนังฮีโร่สายดาร์ก”

การมาของ The Dark Knight ทำให้แฟนหนังซุปเปอร์ฮีโร่นั้นตื่นเต้นเป็นอยางมาก มันแทบจะพลิกโฉมวงการทันทีตอนที่มันออกฉาย มาตรฐานตวามบันเทิงของมันสูงมาก ๆ จนยากที่จะมีใครเทียบเคียง ด้วยฉากต่อสู้ที่สมจริง เนื้อหาเข้มข้นอัดเเน้นแบบต่อเนื่อง การเเสดงที่น่าจดจำระดับตำนาน เป็นงานที่โชว์ให้เห็นจริง ๆ ว่าโนแลนคือผู้กำกับแห่งยุค ที่เมื่อจับงานชิ้นไหนมันจะออกมาน่าสนใจและสดใหม่เสมอ

13. City of God ( 2002 )

“เพราะที่นี่คือบราซิล…ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้”

มันเเป็นการเอาโลกหลาย ๆ โลกมาผสมรวมกันได้อย่างลงตัว ทั้งโลกของเด็ก ของกลุ่มแก๊งที่บาดหมางกัน ของคนชายขอบดิ้นรน ของคนหาเช้ากินค่ำทั่วไป ของคนค้ายา ของครอบครัวธรรมดาที่น่ารัก ของตำรวจดี-เลว ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด มีมิติ ซับซ้อนแต่เข้าใจง่ายแสนง่าย ทุกอย่างในเรื่องดูสมจริง คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนเรื่องราวเลวร้ายพร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งลุ้น ทั้งสนุก ทั้งหวาดเสียวปนเปกันไปตั้งแต่ต้นจนจบ สะท้อนสังคมได้อย่างพอดีไม่ดูยัดเยียด

12. Memories of murder ( 2003 )

“ความกลัวที่อยู่ในความทรงจำ”

หนังเรื่องนี้ได้สร้างความรู้สึกใหม่ให้กับหนังแนวสืบสวนสอบสวน ตามล่าหาฆาตกรโรคจิต มันเหมือนจะเผยตอนจบให้เรารู้ตั้งแต่เเรกเริ่มแต่เราก็ยังอยากจะติดตามตัวละครไปตลอด มันมีทั้งฉากที่ต้องลุ้น ตื่นเต้น ตลก หลอกหลอน ท้อเเท้ ที่สำคัญคือหนังได้ทิ้งความรู้สึกประหลาดให้กับเราหลังจากที่หนังมันจบลง

11. Spider-Man 2 ( 2004 )

“หนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุด”

ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีหนังเรื่องซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องไหน ที่มอบความบันเทิงให้เราเหมือนอย่างหนังเรื่องนี้ Spider-Man 2 พาเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งที่อยากลอยไปมาบนอากาศ ต่อสู้กับเหล่าวายร้าย ต่อเหล่าอธรรม ด้วยความดี ความเชื่อ ความเสียสละ คอนเซ็ปต์ของมันไม่ซับซ้อน แต่หนังก็ไม่กลัวที่พาเราเข้าไปในโลกที่ซับซ้อนของตัวละคร ซึ่งทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ ตื่นเต้น นอกจากนี้หนังยังทำให้เรานึกถึงบทบาทของ CG ที่ควรจะเป็น คือ การเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมหนังให้หนังดีขึ้น น่าเชื่อถือขึ้น ดูรู้เรื่อง แม้ว่าภาพจะเร็วแคไหน ไม่ใช่เป็นตัวเลือกหลักที่มีไว้โชว์ความอลังการเกินเหตุ จนละเลยบทที่ควรจะเป็นหัวใจของเรื่อง

10. 3-Iron ( 2004 )

“พื้นฐานของความรักคือความเชื่อใจ”

ประเด็นเรื่องการชู้สาวเป็นสิ่งผิดบาปมาก ๆ ในวัฒนธรรมเกาหลี มีหนังหลาย ๆ เรื่องพยายามตีแผ่ หรือเล่าเรื่องด้วยมิติที่มันกว้างขึ้น ไม่ขาวจัดดำจัดอย่างที่คนทั่วไปในสังคมคิดและเรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องหนึ่ง เขาไม่เล่ามันตรง ๆ ชัดเจน  แต่จะให้เราเติมเนื้อเรื่องเอาเองจากสิ่งที่เราสังเกตเห็นด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ด้วยความเชื่อใจ มันอาจจะเหมือนความรัก ที่ความเชื่อใจเป็นหัวใจสำคัญในการใช้ชีวิตร่วมกัน

9. No Country for Old Men ( 2007 )

“การปะทะกันของคนชั่ว กับคนที่ชั่วกว่า”

เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ต่างจากหนังไล่ล่าโดยทั่วไป มันไม่มีฉากแอคชั่นโครมครามมากมายให้ตื่นเต้นเเต่เราจะรู้สึกกดดันไปเรื่อย ๆ รู้สึกเหมือนว่าเราทำอะไรผิดมา แล้วกำลังโดนไล่ล่าด้วยฆาตกรโหด กับตำรวจแก่ ๆ เก๋า ๆ ไปพร้อม ๆ กันถึงแม้จะช้าหน่อยเเต่ก็ตามติดมาได้ตลอด หนังมีการพลิกแพลงไปมาได้อย่างน่าสนใจ ลุ้นระทึก คาดเดาไม่ถูกตั้งแต่ต้นจนจบ

8. American Psycho ( 2000 )

“แท้จริงเราก็ไม่ใช่คนดีเท่าไร”

เมื่อเห็นใครก็ตามที่ชอบโพสต์ ชอบพูดแต่คำคม ๆ หน้าของ Patrick Bateman จะลอยออกมาเสมอในใจเรา

หนังที่ทำมาจากหนังสือที่ถูกแบนหลายประเทศเรื่องนี้ ให้ความรู้สึกใหม่กับเรา ตรงที่ความตลกร้ายของมัน มันทำให้เราเข้าใจมาก ๆ ว่าอะไรที่เรียกว่าหนัง Satire ที่ทำการยั่วล้อ เล่นสนุก กับความคิดของเราตลอดเวลา หนังเรื่องนี้มันไปได้สุดทาง และยากที่จะหาหนังเรื่องไหนมาเทียบเคียง

ส่วนตัวเเล้วคิดว่านี่เป็นหนังที่มีคาเเรคเตอร์ของฆาตกรโรคจิตที่ดีที่สุดตั้งเเต่เคยมีมา ทั้งน่าสมเพช น่าตลก น่าหดหู่ใจ แต่กลับมีเสน่ห์เหลือร้าย

7. Memento ( 2000 )

“ก้าวข้ามข้อจำกัดในการทำหนัง”

งานของโนเเลนเป็นงานที่ยากจะเลียนแบบเพราะหนังมีโครงสร้างและวิธีเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหลือเกิน memento คือผลงานเเจ้งเกิดและโชว์ให้เห็นถึงความทะเยอทะยานในตัวของเขาได้ดีที่สุด เเข็งแรงทั้งบทและก็ลีลาในการนำเสนอ

6. Still Walking ( 2008 )

“หนังที่พาเรากลับบ้าน”

หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกเย็นสบาย ผ่อนคลาย รู้สึกเหมือนเราได้กลับบ้านในช่วงวันหยุดหลังจากทำงานอันเมื้อยล้าหลายเดือน ไปหาครอบครัว เจอน้อง ๆ เจอหลาน ๆ เจอญาติ ๆ เจออดีต เจอความฝันเก่า ๆ เจอตัวเองที่อาจจะดีกว่าปัจจุบัน หนังจะทำงานกับความรู้สึกของผู้ชมมาก ๆ ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่ระดับนึง ดูเเล้วใจฟูแบบพองาม ไม่มากหรือน้อยไปกำลังพอดี เป็นงานที่น่าจะลงตัวที่สุดของโคโรเอดะ และเป็นหมุดหมายสำคัญของหนังแนวโคโรเอดะในทศวรรษต่อมา

5. There Will Be Blood ( 2007 )

” เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ”

คำว่า “หนังที่มีพลัง” มันอธิบายยากอยู่เหมือนกันนะว่ามันควรจะเป็นแบบไหนแต่  There Will Be Blood  ทำให้มันชัดเจนว่าหนังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมันควรจะเป็นอย่างงี้แหละ

หนังพยายามพาเราเข้าไปทำความเข้าใจกับคนที่เราจะต้องเกลียดเเน่ ๆ นอกจากจะทำให้เราเข้าใจตัวละครมากขึ้น มันยังทำให้เราเปิดใจและมองผู้อื่นด้วยมุมมองที่หลากหลายขึ้น อยากจะเข้าใจ อยากจะติดตามจุดจบของคนเหล่านี้ อีกทั้งงานด้านภาพเเละเสียงที่โดดเด่นมาก ๆ จนทำให้เราขนลุกหลาย ๆ ฉาก

4. The Lord of the rings ( 2001 – 2003 )

” ธรรมะย่อมชนะอธรรม ( แต่จะต้องเหนื่อยมากๆ ) ”

ถ้าเราอยากจะแนะนำหนังสักเรื่องให้คนรุ่นใหม่ได้มีความหวังกับการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ยุติธรรม สันติสุข ความดีงาม เราจะเเนะนำหนังเรื่องนี้ให้กับพวกเขา เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ที่เยาวชนลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวพวกเขา เราจะคิดถึงความกล้าหาญของโฟรโด้ กับเเซมขึ้นมาตลอด ทำนองเดียวกับที่เราคิดถึงกลุ่มคนในบ้านกริฟฟิ้นดอร์ในแฮรี่ พอตเตอร์  อีกอย่างที่สำคัญคือ เราได้เห็นพลังของหนังที่มีบทเเข็งแรง ที่ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัยมันก็ยังเข้ากับสถานการณ์ได้อยู่เรื่อยไป ดูง่าย ดูกันได้ทั้งครอบครัว คาดว่าเราจะได้พบกับหนังอะไรเเบบนี้ยากมาก ๆ ในอนาคต

3. Eternal Sunshine of the Spotless Mind ( 2004 )

“การลบไม่ได้ช่วยให้ลืม”

นี่คือหนังรักคลาสสิกทันทีตั้งเเต่ที่มันได้ออกฉาย เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะจับหนังพล็อตเสี่ยว ๆ ลบความทรงจำแนว sci-fi กับ romantic comedy เข้ามาผสมกันแบบกลมกลืน จัดจ้าน ล้ำสมัย เท่าเรื่องนี้  นอกจากเทคนิคเก๋ ๆ ที่ใส่เข้ามาเพียบแล้ว หนังยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่เหลือร้ายในบทแบบชาลี คอฟแมนที่จะมีเนื้อเรื่องที่กระโดดไปมาได้อย่างเป็นอิสระ แรนด้อม ฝัน ๆ แต่ก็เป็นระเบียบบวกกับวัสัยทัศน์ของมิเชล กอนดรี ที่ทำให้เราคาดเดาได้ยากมาก ๆ ว่าเราจะได้เจออะไรในฉากต่อไป เหมือนแอบพาเราเข้าไปอยู่ในสวนสนุกแห่งความทรงจำของคนอื่น

2. Spirited Away ( 2001 )

“หนังที่ทำให้คุณรู้สึกต่างออกไปในทุกครั้งที่ได้ดู”

นี่คือหนังคลาสสิกที่สะท้อนให้เห็นถึงสังคมยุคใหม่เป็นอย่างดี เป็นเหมือนพื้นที่ตรงกลางระหว่างโลกเก่าที่ผู้คนผูกติดกับความเชื่อบางอย่างกับโลกใหม่ที่ผู้พร้อมจะละเลยความเชื่อแบบเดิม ๆ เราจะรับรู้เนื้อหาได้ต่างกันไปในเเต่ละช่วงอายุ และเป็นไปได้ที่เเต่ละคนจะมองหนังเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน Spirited Away จะทำให้คุณตื่นเต้น ล่องลอยไปกับงานด้านภาพ ด้านเพลงประกอบ ที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากความจริงไปชั่วขณะเหมือนยามที่คุณฝันกลางวันตอนเป็นเด็ก แต่ในขณะเดียวกันมันได้พาคุณไปพบกับภาพความสิ้นหวัง สมหวังของการเติบโตด้วยเช่นกัน เป็นหนังที่อยากแนะนำให้นำกลับมาดูอีกเรื่อย ๆ เพื่อค้นพบบางอย่างที่ต่างจากเดิม

1. Children of Men ( 2006 )

” เมื่อความหวังเหลือน้อยเหลือเกินในโลกอนาคต…แต่ก็ยังพอมี ”

หนังวิทยาศาสตร์ที่ดีสำหรับเราคือหนังที่พยายามคาดเดาอะไรบางอย่างที่มีเเนวโน้มจะเกิดขึ้นจริงในสักที่ในอนาคต หนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ มันพาเราไปโลกที่ไร้ซึ่งความหวัง เเต่ก็มีความหวังเล็ก ๆ ที่คอยประคับประคองผู้ชมเรื่อย ๆ จนถึงฉากสุดท้าย

การที่หนังเต็มไปด้วยภาพสงครามที่รุนเเรง นองเลือด 18+ อาจเป็นเหตุผลหลักที่หนังเรื่องนี้ไม่ถูกพูดถึงมากนัก เพราะหนังมันดูจริงเกินไปจนหลาย ๆ คนไม่กล้าที่จะดู

นอกจากนี้หนังเรื่องนี้ยังทำให้เราเห็นความสำคัญของการได้มีประสบกาณ์ในการดูหนังในโรงภาพยนตร์ จอใหญ่ ๆ เสียงเเน่น ๆ ที่เข้ากับสภาพความกดดันที่ตัวละครต้องเผชิญ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากการมองเห็นตลอดเวลา พอเวลารบกันของสงคราม การที่เราดูจอใหญ่ๆมันทำให้เราเห็นความละเอียดเล็ก ๆ เต็มไปหมด เช่น การเห็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ปลิวจากเเรงระเบิด เห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ยักษ์พังทลาย รู้สึกถึงความอึดอัดในบางซอกหลืบที่เต็มไปด้วยผู้คน รู้สึกสงบจริง ๆ ยามที่มันเงียบไร้เสียงปืนเเละในยามที่เราเริ่มจะมีความหวัง  คิดว่าถ้าเอาหนังเรื่องนี้ไปไว้ในปี 2030 ก็ยังดูเป็นหนังที่ทันสมัยอยู่ คาดว่าจะเป็นหนังที่จะมีความสำคัญในอนาคต

50 หนังดีที่สุดในช่วง 2010 – 2019

Advertisement

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

%d bloggers like this: