จากประเทศที่รวยสุดๆกลายเป็นประเทศที่จนสุดๆ – นาอูรู

ในปี 1982 นาอูรูเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่ใครๆก็อยากไปเยี่ยมชมให้เห็นกับตา แต่ในปี 2017 นาอูรูได้กลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก

ผู้ลี้ภัยทางสงครามบางส่วนถูกส่งไปที่นั่น บางคนถึงขั้นฆ่าตัวตาย เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องอยู่ต่อที่นาอูรูไปอีกยาวนาน

นี่คือเรื่องราวของประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศที่เเร้นเเค้น แล้วพลิกโฉมมาเป็นประเทศที่มั่งคั่ง แล้วกลับไปเป็นประเทศที่เเร้นเเค้นเหมือนเดิม

พวกเขาเปลี่ยนจากประเทศที่ร่ำรวยสุดๆให้กลายมาเป็นประเทศที่ยากจนสุดๆได้อย่างไร ? และทำไมชาวนาอูรูถึงได้เป็นชนชาติที่อ้วนที่สุดในโลก?

หมู่เกาะอันไกลโพ้น?

นาอูรูมีประชากรราว 1 หมื่นคน มีพื้นที่ราว 21 ตร.กม. ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก รองลงมาจาก นครรัฐวาติกันและโมนาโก ถ้าจะให้ขับรถรอบประเทศก็คงใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น

นกจากทั่วทุกที่ใช้เกาะเเห่งนี้เป็นส้วมสาธารณะมานานหลายพันปี  พวกมันจะถ่ายไปทั่วจนเหมือนทั้งเกาะถูกครอบด้วยมูลของนกอีกทีหนึ่ง

ชาวนาอูรูกำลังขุดเเร่ฟอสเฟตอยู่[ Image source : http://www.everyculture.com ]

แต่สิ่งที่พวกมันนำพามาด้วย ผ่านทางอุจจาระพวกนั้นก็คือฟอสเฟต(phosphate)

ฟอสเฟตเป็นส่วนประกอบสำคัญของการทำปุ๋ย มันมีคุณสมบัติในการกักเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของพืช

เยอรมันเป็นชาติเเรกที่ค้นพบนาอูรู และพวกเขาได้ริเริ่มทำเหมืองฟอสเฟตขึ้นในปี 1906 ภายใต้ชื่อ “Pacific Phosphate Company”

ต่อมาธุรกิจนี้ได้ตกเป็นของ “British Phosphate Commission” ที่เกิดจากการร่วมมือกันของ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีเเลนด์

นาอูรูประกาศอิสรภาพในปี 1968 แล้วเปลี่ยน British Phosphate Commission มาเป็น Nauru Phosphate Corporation หลังจากนั้นพวกเขาก็ขุดเหมืองฟอสเฟตมันอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

 

ในปี 1975 GDP Per Capita ของพวกเขาสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเเค่คูเวต ประเทศเศรษฐีน้ำมันในสมัยนั้น

รายได้มวลรวมของประเทศอยู่ที่ 2.5 พันล้านเหรียญ ในขณะที่มีประชากรราว 7 พันคนเท่านั้น

พวกเขายังสร้างระบบฟรีค่ารักษาพยาบาล ฟรีค่าเล่าเรียน ฟรีค่ารถโดยสารสาธารณะ และไม่ต้องจ่ายภาษีใดๆทั้งสิ้น

พวกเขาเอาเงินที่หามาได้มาซื้อรถ สร้างบ้านหลังใหญ่ๆ สร้างโรงเเรม สนามกอล์ฟ สร้างสนามบินที่คาดว่าจะเป็นสนามบินสำคัญในเเถบทะเลแปซิฟิก อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการนำอาหารเข้ามาด้วย

รัฐบาลสร้างระบบกองทุนเพื่อใช้ในยามที่พวกเขาไม่มีฟอสเฟตไว้ขุดอีกแล้วซึ่งเงินที่หามาได้ส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้ที่กองทุนนี้ พวกเขาอ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนในกิจการต่างๆ เช่น การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์

 

เที่ยวบินในสายการบินนาอูรูส่วนใหญ่จะมีที่ว่างกว่า 80% ปัจจัยสำคัญเพราะมันเป็นประเทศที่ห่างไกลไม่ค่อยมีใครอยากจะไปท่องเที่ยวมากนัก [ Image source : commons.wikimedia.org ]

จุดพลิกผัน

รายได้มากมายที่เข้ามาในประเทศนั้นมันไม่เคยถึงมือทุกคนในประเทศจริงๆ ส่วนหนึ่งชาวเมือง ที่เป็นชาวเกาะคงไม่เข้าใจดีนักว่าเงินพวกนั้นจะมีค่ามากกว่าปลาที่พวกเขาตกได้ตรงไหน มันจึงทำให้รัฐบาลสบายใจที่จะใช้เงินอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ได้รับการตรวจสอบใดๆจากชาวเมือง

รัฐบาลจะไปเยือนประเทศต่างๆโดยทำเป็นว่ามันเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของการจัดการธุรกิจเพื่อคนในชาติ การเดินทางไปในที่ต่างๆของพวกเขาจะต้องไปอย่างหรูหรา มีระดับเสมอให้สมกับความรวยของพวกเขาจนได้รับฉายาว่าเป็น คูเวตแห่งทะเลแปซิฟิก เพราะพวกเขาใช้เงินราวกับว่าไม่มีวันหมด

ด้วยการขาดประสิทธิภาพในการบริหารและการขาดความรู้ ทำให้สิ่งที่พวกเขาลงทุนไปกว่าพันล้านเหรียญเจ๊งเกือบทั้งหมด ปัญหาที่สำคัญอีกส่วนคือ การที่ชาวนาอูรูไม่มีความรู้ในการบริหารเงินที่เขามี พวกเขาจึงจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศเข้ามาดูเเลกิจการ ซึ่งดูเหมือนพวกเขาได้เข้ามาสร้างปัญหาให้กับชาวนาอูรูเพิ่มขึ้นไปอีก

เช่น ผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษารัฐบาลของนารูอูอย่าง John Walsh และ Adrain Powell ที่ได้ออกมาสารภาพภายหลังว่าพวกเขาได้เงินไปกว่า 100 ล้านเหรียญ จากความจงใจในการทำให้ธุรกิจของนาอูรูนั้นล้มเหลว

และมันก็มาถึงคราวที่พวกเขาไม่เหลือฟอสเฟตให้ขุดอีกเเล้วจริงๆ ในขณะที่รายจ่ายก็ไม่ได้ลดลงตาม

พวกเขายังต้องใช้เงินในการดูเเลกิจการที่พวกเขาหลงเหลืออยู่ เช่น อสังหาริมทรัพย์ที่เมลเบิร์น วอชิงตัน ตึกนาอูรูที่ฮาวาย โรงเเรม 5 ดาวที่เกาะกวัม เกาะฟิจิ ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะยืมเงินจากชาติอื่นๆ

พวกเขาไม่ได้มีรายได้เข้ามา ทำให้ไม่มีเงินใช้หนี้ อสังหาริมทรัพย์ที่เคยลงทุนไว้จึงถูกยึดไปเรื่อยๆ รวมถึงสนามบินเเห่งชาตินาอูรูด้วย

ต่อมาธนาคารหนึ่งเดียวของนาอูลูล้มละลาย ทำให้ทั้งประเทศล้มละลายตามไปด้วย

สิ่งที่นาอูรูหลงเหลือ คือ ผืนเเผ่นดินที่ว่างเปล่าที่ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น กับประชากรกว่า 7 พันคนไม่มีอะไรจะกิน

รัฐบาลเกิดไอเดียสร้างนโยบายดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน พวกเขาชักจูงชาวต่างชาติให้มาเปิดธนาคารที่นี่ โดยใช้เงินเพียงเเค่เพียง 20,000 เหรียญ

มันเป็นช่วงที่โซเวียตล่มสลายพอดีเเละพวกเขาก็คงมองเห็นว่าชาวรัสเซียน่าจะสนใจมาลงทุนที่นี่ และมันก็เป็นเเบบนั้นจริงๆ

มาเฟียของรัสเซียมองว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะใช้นาอูรูเป็นแหล่งฟอกเงิน ทำให้เงินที่ผิดกฎหมายของโซเวียตราว 7 หมื่นล้านเหรียญถูกนำมาฟอกที่นี่

มีการรายงานว่ารัสเซียได้ให้เงิน 50 ล้านเหรียญในการช่วยเหลืองานด้านสิทธิมนุษยชนที่นาอูรู เเต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลเเจ้งว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้

ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลนาอูรูลดลงเรื่อยๆจนไม่มีใครอยากที่จะเข้าไปช่วยเหลืออีก

การส่งออกฟอสเฟตลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งเเต่ปี 1999 [ Image source : wikipedia.org ]

เมื่อเงินที่เข้ามาช่วยเหลือ…ไม่เคยถึงประชาชน

ในปี 2001 ผู้อพยพจากศรีลังกา ปากีสถาน ทั้งเด็ก ทั้งคนท้อง หนีเข้ามาเกยฝั่งที่ออสเตรเลีย รัฐบาลออสเตรเลียจึงมองหาประเทศที่ 3 ที่พอจะเป็นแหล่งพักพิงให้กับคนเหล่านี้ได้ ซึ่งนาอูรูคือหนึ่งในนั้น

นาอูรูจะได้รับเงินช่วยเหลือในสัญญานี้ด้วย ซึ่งต่อมาได้รับรายงานว่ากลุ่มผู้อพยพเหล่านี้ได้รับการดูเเลเยี่ยงนักโทษ

มันจึงถูกปิดตัวในปี 2008 เพราะปัญหาน้ำดื่มไม่เพียงพอ แต่ก็กลับมาเปิดใหม่ในปี 2012 ด้วยเงื่อนไขในการดูเเลผู้อพยพให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยออสเตรเลียได้รับเเรงกดดันจากสหประชาชาติอีกทีหนึ่ง

ประท้วงจากฝั่งออสเตรเลียให้อพยพผู้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยในประเทศ [ Image source : http://www.theaustralian.com.au]
การประท้วงของผู้อพยพที่อยู่ในเกาะนาอูรูที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย [ Image source : http://www.greenleft.org.au ]

ในครั้งนี้ ออสเตรเลียกับนาอูรูพยายามที่จะปกปิดสถานการณ์ที่เเท้จริงโดยการพยายามตัดขาดการติดต่อทุกๆช่องทาง และลงโทษผู้ที่พยายามจะรายงานว่าเกิดอะไรขึ้นในแคมป์  ส่วนหนึ่งมองว่าเป็นการจงใจปล่อยปละละเลยจากทางรัฐบาลนาอูรูเพื่อที่พวกเขาจะได้รับเงินในการช่วยเหลือเข้ามาอีก ส่วนรัฐบาลออสเตรเลียก็ไม่สามารถสนับสนุนนาอูรูได้อีกเพราะรัฐบาลนาอูรูไม่ยอมจ่ายหนี้

อีกทั้งเงินที่รัฐบาลออสเตรเลียได้ให้ไปมักถูกนำไปใช้ในส่วนอื่นที่ไม่สำคัญอยู่เสมอ

มีการตรวจสอบภายหลัง ว่ามีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรูหรา ของประธานาธิบดี ในขณะที่โรงเรียนไม่มีน้ำ บ้านเรือนไม่มีไฟใช้ ธนาคารกดเงินไม่ได้  โรงพยาบาลไม่สามารถเบิกยาได้เพราะรัฐบาลไม่อนุมัติเงินมาช่วยเรื่องการเเพทย์ เพราะมองว่างานด้านสาธารณสุขไม่ได้มีความสำคัญเท่าใดนัก

ในปี 2016 ชาวอิหร่านจุดไฟเผาตัวเองบนเกาะ เพราะเขารู้ว่าตนเองต้องติดอยู่ที่นี่ต่ออีก 10 ปี พวกเขาอยู่ด้วยความสิ้นหวังอย่างแท้จริง

ปัจจุบัน

พื้นที่ 70% ของนาอูรูไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ไม่มีฟาร์ม ไม่มีสัตว์ ที่เป็นเเหล่งอาหารให้ชาวเมืองได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องนำเข้าอาหารจากที่อื่นเข้ามา ซึ่งทั้งหมดเป็นอาหารกระป๋องคุณภาพต่ำ

ท้ายที่สุดอาหารเหล่านั้นทำให้คนที่บริโภคมีสุขภาพที่แย่ลงเรื่อยๆ ชาวนาอูรูส่วนใหญ่เป็นโรคเบาหวาน และมีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับไต กับหัวใจ

พวกเขาคงไม่ได้คิดว่าปัญหาด้านสุขภาพนี้จะส่งผลมาจากรุ่นสู่รุ่น

เมื่อก่อนในยุคที่นาอูรูมีความมั่งคั่ง  ต่อให้เจ็บป่วยขึ้นมาพวกเขาก็คงคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าป่วยพวกเขาก็แค่เข้าไปรักษา บรรพบุรุษของพวกเขาคงไม่ได้คำนึงว่าลูกหลานของพวกเขาจะเเร้นเเค้นถึงเพียงนี้

ผู้ชายชาวนาอูรู 97% และผู้หญิง 93%  มีค่า BMI เกินมาตรฐาน ทำให้ชาวนาอูรูกลายเป็นชนชาติที่อ้วนที่สุดในโลก และเป็นเบาหวานเยอะที่สุดในโลกเมื่อเทียบสัดส่วนของประชากร

หลายๆคนที่เป็นโรคเบาหวานและไม่มีเงินรักษา พวกเขาต้องตัดอวัยวะบางส่วนออกเพื่อให้เขาเองได้อยู่รอด

90% ยังคงไม่มีงานทำ พวกเขามีชีวิตอยู่ได้เพราะการช่วยเหลือจากนานาชาติ

ส่วนแคมป์ผู้อพยพยังคงดำเนินการต่อไป…

สิ่งที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดในปัจจุบันที่ทั่วโลกยอมรับคือ…การเป็นเเชมป์ยกน้ำหนักระดับโลก พวกเขาบอกว่า…ร่างกายของพวกเขาถูกสร้างมาให้เก่งในเรื่องนี้ [ Image source : Powerlifting Australia ]

Sources :  wikipedia.org – Nauru , www.nytimes.com – WORLD’S RICHEST LITTLE ISLE

ติดตามเพจ : www.facebook.com/WeTheVaporTH

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.