ในปัจจุบันการคบชู้ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรประณาม เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจอย่างถึงที่สุดต่อผู้ที่ถูกกระทำ อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของการทรยศหักหลังที่ยากจะให้อภัย
เเต่ใครเป็นคนสร้างกฎเหล่านี้ขึ้นมาล่ะ ว่าเราจะต้องจริงใจต่อคนรักของเราเเค่เพียงคนเดียว?
สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ
ในช่วงปี ค.ศ. 1532 เอทาวัลปา ( Atahualpa ) บุตรชายของกษัตริย์ที่ปกครองอินคา มีกิจการหอนางโลมอยู่ทั่วทั้งอาณาจักร ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าเขาเคยเป็นชู้กับผู้หญิงอื่นมาเเล้วกว่า 3 พันคน
ชนชั้นกษัตริย์มักจะมีนางสนมมากมายอยู่เเล้วในสมัยก่อน ไม่ต่างจากผู้มีอำนาจในส่วนอื่นๆ ของสังคม บางพื้นที่มีการออกกฎอย่างชัดเจนว่าต้องมีภรรยาไม่เกินเท่าไร เช่น ข้าราชการชั้นสูงสามารถมีได้ไม่เกิน 20 คน หัวหน้าที่ควบคุมหมู่บ้านมีได้ไม่เกิน 8 คน
ในช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่ผู้คนในแถบยุโรปเรียนรู้ที่จะมีพิธีเฉลิมฉลองงานแต่ง รัฐบาลมองว่ามันเป็นสิ่งที่ควรเปิดเผย และต้องให้ทำให้ถูกต้องตามหลักศาสนาที่ต้องมีบาทหลวงมายืนยัน และมีสักขีพยานไม่ต่ำกว่า 2 คน
การมีชู้เป็นเรื่องผิดศีลธรรม เช่นเดียวกับการข่มขืน แต่การข่มขืนถือว่าเป็นบาปน้อยกว่า “การช่วยตัวเอง” เสียอีกตามหลักศาสนา
มันจึงเป็นเหตุที่ทำให้ผู้คนไม่ละอายใจต่อการข่มขืนเท่าที่ควร กลับถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการมีอำนาจ เเละเกียรติยศ
การที่นักรบข่มขืนชาวเมืองในเมืองที่พวกเขาเข้าไปยึดครองได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะมันถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศชัยชนะ เป็นส่วนหนึ่งในการข่มเหงคนที่อยู่ต่ำกว่า และมองว่าพวกเขาสมควรได้รับ
การเป็นชู้ การข่มขืน การร่วมรักกับผู้อื่นนอกสมรส จึงถือว่าเป็นเรื่องที่สุดแสนจะคลุมเครือ

ไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพราะรัก
เมื่อตอนที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส อายุ 15 ปี พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับพระนางมารี เลชชินสกา ( Marie Leszczyńska) ธิดาของกษัตริย์โปแลนด์ ทั้ง 2 พระองค์ครองรักกันนาน 20 ปีโดยที่พระเจ้าหลุยส์ไม่ได้มีมเหสีคนอื่นๆเลย
ทั้ง 2 ไม่ได้รับการคาดหวังด้วยซ้ำว่าจะรักกันจริงๆ การเเต่งงานถูกทำไปเพราะประเพณีเท่านั้น
เเต่พอมาถึงปี 1745พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ซึ่งมีอายุ 35 ปี ได้เกิดตกหลุมรัก มาดาม เดอ ปงปาดูร์ ( Madame de Pompadour ) ที่มีอายุ 25 ปี ซึ่งผ่านการเเต่งงานมาเเล้ว
ท้ายที่สุดเธอได้กลายเป็นพระมเหสีอีกคนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ไม่มีใครในพระราชวังขัดอะไรแม้ว่าเธอจะเเต่งงานเเล้วก็ตาม ผู้คนไม่ได้เป็นห่วงความรู้สึกของพระนางมารี เลชชินสกาเช่นกัน เพราะดูเหมือนเธอจะสนใจเรื่องอื่นมากกว่าอยู่เเล้ว เช่น ดนตรี การอ่านหนังสือ อีกทั้งการที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ได้พบกับความรักครั้งใหม่ยิ่งทำให้เธอได้มีเวลาว่างยิ่งขึ้นในการทำสิ่งที่เธอชอบจริงๆ เพราะทุกๆคนเข้าใจกันดีว่าการเเต่งงานในยุคนั้นถูกมองว่าเป็นเพียงหน้าที่มากกว่า
หน้าที่ในเชิงธุรกิจ หน้าที่ในการผลิตรัชทายาท
ในราชวัง เหตุผลของการเเต่งงานคือการเชื่อมสัมพันธไมตรีของ 2 ประเทศเข้าไว้ด้วยกัน และการมีทายาทคือหน้าที่สำคัญที่ต้องรับผิดชอบเพื่อใช้ในการสืบเชื้อสาย ส่วนภายนอกราชวัง เหตุผลของการเเต่งงานคือเรื่องธุรกิจไม่ต่างกัน
2 ครอบครัวจะผูกสัมพันธ์โดยการให้ลูกๆของพวกเขาแต่งงานกัน จุดประสงค์เพื่อเพิ่มที่ดินให้มากขึ้นในการทำการเกษตรของทั้ง 2 ครอบครัว
อีกทั้งยังมีหน้าที่ในการผลิตลูกออกมาเพื่อมาเป็นแรงงานประจำที่ไร่
การเเต่งงานกันด้วยความรักจึงดูเป็นสิ่งที่ไร้ความรับผิดชอบ เป็นเรื่องที่เสียโอกาส และการมีลูกเเค่เพียงคนเดียวถูกมองว่าเป็นเรื่องที่น่าละอาย

ความโรแมนติก
ในปี 1774 ที่เยอรมัน โยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอ ( Johann Wolfgang von Goethe ) เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า The Sorrows of Young Werther ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นหนังสือยอดนิยมที่สุดในยุโรปตลอดระยะเวลา 30 ปี เนื้อหาของหนังสือได้สร้างสิ่งที่เรียกกว่า “โรแมนติก” ในการใช้ชีวิตคู่ และทำให้ผู้คนเริ่มตั้งคำถามที่ว่า “รัก” คืออะไรกันแน่
The Sorrows of Young Werther พยายามบอกให้ผู้คนเเต่งงานกันด้วยความรัก และการหลับนอนกับคนอื่นนอกสมรสถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย มันทำให้ผู้คนมองเห็นอีกเเง่มุมที่ว่า การที่คนไม่สามารถซื่อสัตย์ต่อคู่ครองได้ มีแนวโน้มที่จะทำผิดในเรื่องอื่นๆ ซึ่งหนีไม่พ้นการทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย
หนังสือเน้นย้ำอารมณ์ของตัวละคร ว่าเมื่อใดที่ผู้คนรู้สึกถลำลึกเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น จะทำให้พวกเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดังเช่นตัวละครนำในหนังสือ
เขาหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งที่เเต่งงานเเล้ว เขารู้สึกว่าสถานะของทั้ง 2 ไม่สามารถไปไกลกว่านั้นได้ เขาจึงตัดสินใจยิงตัวเองตาย
ความซื่อสัตย์ในความสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติเพื่อไม่ให้เรื่องราวที่เลวร้ายได้เกิดขึ้น

โรแมนติกที่ไม่มีอยู่จริง
ในผลงาน Madame Bovary ของนักเขียน กุสตาฟ โฟลแบรต์ ( Gustave Flaubert ) ในปี 1857 ตัวละครของเรื่องได้รับแรงผลักดันให้คบชู้ เพราะเธอหมดความต้องการทางเพศต่อสามีไปเเล้ว
แต่เดิมที ความโรแมนติกในการสมรสถูกทำให้เชื่อว่า คู่รักจะมีเเรงปรารถนาทางด้านอารมณ์ทางเพศต่อกันจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ผู้คนคาดหวังว่าคู่ของตัวเองควรจะเป็นทุกๆอย่าง เป็นทั้งพ่อเเม่ เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นผู้จัดการ เป็นผู้ชี้แนะ และเป็นผู้ตอบสนองความต้องการทางเพศ
แต่ในหนังสือได้บอกว่า “ความโรแมนติก” ที่ผู้คนคาดหวังโดยที่ไม่ได้ยึดโยงกับความเป็นจริงจะทำให้เกิดจุดจบที่น่าเศร้า
แนวคิดในหนังสือส่งผลให้ผู้คนคาดหวังน้อยลงในความรัก ผู้คนเริ่มหันมาเชิดชูนิยายที่พูดถึงความซื่อสัตย์มากขึ้น ตัวละครที่รับบทนำจะเป็นคนที่รักษาสัตย์ บางคนถึงขั้นเลือกที่จะสละชีวิตของตนเองถ้าต้องเสียคำพูดไป
ผู้คนมีทางเลือกมากขึ้นในการรักษาความสัมพันธ์ พวกเขาเลือกการรักษาสัตย์ต่อคู่รักของตน ถ้าทำได้ได้ก็ถือว่าคนนั้นเป็นคนที่มีเกียรติ น่าเคารพนับถือ

ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก
ในปี 1992 โลกได้เริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่า “อินเทอร์เน็ต”
มีกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า alt.polyamory พวกเขาได้สร้างคำจัดกัดความของ polyamory (มีคนรักหลายคน) ขึ้นมา
พวกเขาบอกว่าคนเราสามารถมีคนรักหลายๆคนตราบใดที่ทุกๆฝ่ายยินยอม กลุ่มของพวกเขาต้องการลดความเข้มงวดของทฤษฎีความรักในยุคก่อนๆลง พยายามลดภาพโรเเมนติกแบบดั้งเดิม แล้วใส่เสรีภาพเเบบประชาธิปไตยเข้าไป ซึ่งมันส่งผลทางด้านจิตวิทยาต่อผู้คนเป็นอย่างมาก
ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เช่น ถ้าเราไม่มีอารมณ์กับคู่ของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องโกหกออกไปแต่พยายามบอกคู่รักของตนเองให้เข้าใจจะดีกว่า
ผู้คนตั้งคำถามกับความอิจฉามากขึ้น ว่าทำไมเราต้องอิจฉา ทำไมเราต้องยึดติด แม้เเต่การมีคู่เพียงคนเดียวก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ “ยึดติด” มากจนเกินไป
มีคำใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆเพื่อบ่งบอกถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น
Common Law Marriage : การแต่งงานเพื่อที่ทั้ง 2 จะใช้ชีวิตร่วมกันในระยะเวลาหนึ่ง
Cousin Marriage : อนุญาตให้คนในสายเลือดแต่งงานกัน ทั้งนี้ทั้ง 2 อาจไม่จำเป็นต้องมีอะไรกัน แต่แต่งกันไปเพราะมีความเชื่อบางอย่าง
Endogamy: แต่งงานเฉพาะคนในชุมชนเท่านั้น
Exogamy: แต่งงานกับชนเผ่าบางชนเผ่าโดยเฉพาะ
Monogamy: แต่งงานกับคนเพียงคนเดียว
Polyandry: ผู้หญิงที่มีสามีมากกว่าหนึ่ง
Polygamy: มีคู่ครองได้หลายๆคนในเวลาเดียวกัน
Polygyny: ผู้ชายที่มีภรรยามากกว่าหนึ่ง
Same-sex Marriage: แต่งงานกับคนที่มีเพศเดียวกัน
เหตุผลที่แท้จริง
ในปี 2015 ได้มีการแฮกระบบในเว็บไซต์หาคู่ (ในลักษณะคบชู้ ) Ashley Madison ซึ่งมีหลายๆคนถูกเปิดโปงในเรื่องนี้
นอกจากจะได้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ที่เข้ามาใช้บริการเเล้ว พวกเขายังได้พบกับเหตุผลที่ทำให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการ ซึ่งหลัก ๆ แล้วมีอยู่ 3 ประการ คือ…
1.พวกเขาเข้ามาใช้บริการเว็บนี้เพราะพวกเขารักคู่ของตัวเองมาก เเต่ก็ไม่สามารถโกหกความต้องการ(ทางเพศ) ของตัวเองได้ เลยอยากทำให้มันแนบเนียนและปลอดภัยที่สุด
2.พวกเขาเบื่อหน่ายกับชีวิตคู่ของตนเอง แล้วรู้สึกว่าตัวเองหมด Passion และหมดความต้องการทางเพศกับคู่ของตน ซึ่งสอดคล้องกับสโลแกนขององค์กรเป็นอย่างดีที่ว่า “ชีวิตนี้มันสั้น มีชู้กันเถอะ”
3.พวกเขารู้ว่าถึงเเม้คู่ของตนจะยินยอม เเต่ก็ไม่สามารถลบความเจ็บปวดได้อยู่ดี
ในวันที่ 24 สิงหาคม 2015 ศาสตราจารย์ที่ New Orleans Baptist Theological Seminary ได้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย หลังจากถูกเปิดโปงว่าเคยเข้าไปใช้บริการที่เว็บไซต์นี้
การถูกจับได้ว่าคบชู้ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำลายอนาคตคนอย่างแท้จริง ยิ่งคนที่ได้รับความเคารพนับถือด้วยเเล้วมันยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนโดนหักหลังเข้าไปอีก

ไทเกอร์ วูดส์นักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกที่ครองแชมป์มาอย่างยาวนาน เมื่อเขาถูกจับได้แล้วโดนแฉเรื่องชู้สาว ฟอร์มการเล่นของเขาตกต่ำจนน่าใจหาย มันคงจะแปลกเหมือนกันที่สายตาแฟนๆที่เคยชื่นชมเขาเสมอมา เปลี่ยนเป็นสายตาเเห่งความเกลียดชัง
แกรี่ ฮาร์ต ( Gary Hart ) ตัวเต็งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเขาถูกขุดคุ้ยว่ามีสัมพันธ์ฉาวกับ ดอนน่า ไรซ์ (Donna Rice ) พนักงานขายในบริษัทยาแห่งหนึ่ง เขาเเทบจะทำงานต่อไปไม่ได้เลย เพราะเมื่อมีข่าวฉาวเกิดขึ้นผู้คนก็ไม่สนใจนโยบายหาเสียงใดๆของ แกรี่ ฮาร์ต อีกต่อไป ทำให้เขาต้องถอนตัวจากการเป็นตัวเเทนพรรค ทำให้พรรคของเขาพ่ายเเพ้ไปในที่สุดต่อ จอร์จ บุช ( George Bush) ซึ่ง 30 ปีให้หลังถึงได้รู้ความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งในเกมการเมืองของจอร์จ บุช ที่ไม่ต้องการจะเเข่งกับ แกรี่ ฮาร์ต ที่ดูเหนือกว่าในทุกๆด้านในตอนนั้น
น่าสังเกตที่เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้กับ บิล คลินตัน ที่มีข่าวชู้สาวกับโมนิกา ลูวินสกี ซึ่งต่อมาประธานาธิบดีที่ได้รับการรับเลือกคือ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ลูกชายของจอร์จ บุช
[ Front runner เรื่องราวอื้อฉาวของ แกรี่ ฮาร์ต ]
เมื่อผู้คนรู้จักความโรแมนติก พวกเขาแต่งงานกันเพื่อความรักชั่วนิรันดร์ เพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตลึกซึ้งและมองว่าการนอกใจคือสิ่งที่น่ารังเกียจ เเละไร้เกียรติ ในขณะเดียวกันพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และกษัตริย์ เอทาวัลปา แห่งอินคาก็เพลิดเพลินไปกับการมีมเหสีหลายๆคนได้เช่นกัน โดยไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย และทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นปกติสุข
การมีชู้รักอาจไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ตราบใดที่มันไม่ได้สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับตนเองและคู่ครอง แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเเค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ “ความคาดหวัง” ของผู้คนที่ดูเหมือนจะมีอำนาจในการตัดสินผิดถูกผู้อื่นอยู่เสมอ และพร้อมจะดึงเหตุผลไปจากตัวเราได้ทุกเมื่อโดยที่เราไม่ทันจะรู้ตัว
Sources: en.wikipedia.org – History of rape , www.theschooloflife.com – Love Affair, www.achieveriasclasses.com – UNIT 6 MARRIAGE , www.theatlantic.com – Was Gary Hart Set Up?